การปกครองตามแบบพระพุทธเจ้า
ขอยกกรณีศึกษาจากพระสูตรกูฏทันตสูตร
นี้สะท้อนให้เห็นการปฏิวัติทางวัฒนธรรมในยุคก่อนพุทธกาล
และในยุคพุทธกาลซึ่งเมื่อนำมาฉายภาพให้เห็นเปรียบเทียบกับการบริหารประเทศยุคปัจจุบัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่พรรคการเมืองใหม่ คือ ไทยรักไทยก้าวขึ้นเป็นรัฐบาล
และพรั่งพรูด้วยความคิดใหม่ ตามนโยบาย “คิดใหม่ ทำใหม่”
น่าเชื่อที่หลายเรื่องมีแนวที่สอดคล้องอย่างยิ่งกับแนวคิดในสมัยพุทธกาล
การมุ่งปฏิรูปประเทศไทย ๖ ด้าน คือด้านการเมืองด้านเศรษฐกิจ
ด้านการต่างประเทศ ด้านการศึกษา สาธารณสุข
และด้านสังคม การใช้เศรษฐกิจนำการเมือง
ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีรูปธรรมเห็นชัดเจนจากนโยบายที่ออกมาที่เรียกว่านโยบายแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบรากหญ้า
พระสูตร
กูฏทันตสูตรนี้
ถือว่าเป็นการปฏิรูปแนวความคิดในการบริหารบ้านเมืองที่หล้าหาญที่สุดในยุคนั้น
เท่ากับว่าเป็นการลบล้างตำรา ความเชื่อ
วัฒนธรรมประเพณีเดิมซึ่งกำหนดโดยพราหมณ์ปุโรหิต ซึ่งถือว่าเป็นราชบัณฑิต
ผู้รอบรู้นักวิชาการที่ปรึกษาผู้นำของประเทศที่มีบทบาสูงสุด
พราหมณ์ปุโรหิตในเรื่องนี้คืออดีตชาติของพระผู้มีพระภาคที่บังเกิดในสมัยของพระเจ้ามหาวิชิตราช
ได้วางกุศลบายเพื่อปราบโจรผู้ร้ายเพื่อสร้างความร่มเย็นเป็นสุขให้กับพสกนิกรโดยพลิกปัญหาและอุปสรรคให้กลายเป็นโอกาสแทนที่จะส่งเสริมให้คนทำบาปตามประเพณีเดิมของการทำพิธีบูชามหายัญ
ซึ่งเป็นความเชื่อที่งมงายว่าจะต้องมีการฆ่าสัตว์บูชายัญเพื่อความเป็นสิริมงคล
พราหมณ์ปุโรหิตของพรเจ้ามหาวิชิตราชกลับพลิกพิธีอันโหดเหี้ยมงมงายให้กลายเป็นการพัฒนาบ้านเมืองและเศรษฐกิจแบบยั่งยืน
นั่นคือ ยุทธศาสตร์ ๖ ขั้นตอนด้วยกัน คือ
ยุทธศาสตร์ที่หนึ่ง การพัฒนาบ้านเมือง ด้วยการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
ยุทธศาสตร์ที่สอง การพัฒนาระบบบริหารราชการแบบใหม่
ยุทธศาสตร์ที่สาม การพัฒนาผู้นำ
ยุทธศาสตร์ที่สี่ การพัฒนาระดับจิตใจของผู้นำ
ยุทธศาสตร์ที่ห้า พัฒนาจิตใจประชาชนด้วยการตั้งมาตรฐานคนดี
ยุทธศาสตร์ที่หก การพัฒนาเศรษฐกิจคู่กับจิตใจ
การบริหารประเทศในชมพูทวีป
ในยุคสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ชมพูทวีปยังมิได้รวมกันเป็นประเทศอินเดียแบบในปัจจุบัน
แต่ละดินแดนแต่ละแคว้นแต่ละรัฐล้วนเป็นอิสระจากกัน
มีเจ้าผู้ครองนครต่างคนต่างเมืองต่างอยู่แต่ติดต่อถึงกัน
ต่างฝ่ายต่างมีประมุขมีเสนาบดี มีอำมาตย์ มีกองทัพ ระบบการบริหาร มีดินแดน
มีประชาชนของตนเอง
คราใดที่อาณาจักรใดมีอำนาจ
ก็จะยกกองทัพเข้ารุกรานผู้อื่น เพื่อยึดดินแดนของรัฐอื่น ยึดสมบัติ
ยึดประชาชนให้มาอยู่ในปกครองของตนเอง บ้างก็ให้อยู่ในฐานะประเทศราชเป็นเองขึ้น
ต้องส่งบรรณาการเพื่อเป็นการยอมรับอำนาจ
การปกครองบ้านเมืองจึงอยู่ในระบบสิทธิ์ขาดอำนาจสูงสุดอยู่ที่ประมุขของประเทศ
ชื่อของประเทศหรือเจ้าผู้ครองนคร จึงเรียกว่า
พระราชาบ้างกษัตริย์เจ้าผู้ครองนครบ้างถ้าเป็นอาณาจักรใหญ่ที่มีอำนาจมากมีดินแดนมากก็เรียกว่ามหาราชบ้าง
จักรพรรดิบ้าง
รูปแบบและโครงสร้างกาปกครองและบริหารแผ่นดินจึงเป็นรูปแบบง่ายๆ ที่เราเห็นภาพจากการแสดงบ้าง จากภาพยนตร์บ้าง
เป็นท้องพระโรงใหญ่ มีประมุขผู้ครองนครนั่งบนบัลลังก์มีเสนาบดี อำมาตย์ขุนทหาร
ยืนเข้าเฝ้า แบ่งเป็นสองฝ่าย คือฝ่ายทัพนักรบ
และฝ่ายขุนนางเสนาบดีที่ปรึกษาเป็นการบริหารแบบใช้ที่ประชุมเป็นที่รับเรื่องราวและตัดสินไปเลยทีเดียว
ซึ่งก็นับว่าเป็นการรวบรัด
เด็ดขาด ตั้งแต่รับรายงานบัญชาการสั่งงานติดตามงาน และให้คุณให้โทษโดยฉับพลัน
รูปแบบโครงสร้างก็จะแบ่งง่ายๆ
เป็นฝ่ายกองทัพและฝ่ายอำมาตย์ กองทัพก็มีแม่ทัพนายกอง
ทำหน้าที่ปกป้องดูแลรักษาประเทศภายนอกฝ่ายอำมาตย์ เสนาบดี ก็จะทำหน้าที่ถวายนโยบาย
และรับไปดำเนินการบริหารงานบ้านเมืองภายใน
โดยมีฝ่ายพราหมณ์เป็นที่ปรึกษาด้านวิชาการและพิธีกรรม
การปกครองที่มีประสิทธิภาพ
ได้แก่การปกครองที่ใช้หลักในการปกครองตามแบบของพระพุทธเจ้า
ตามหลักอปริหานิยธรรม ๗ ประการ ซึ่งถือว่าเป็นหลักในการบริหารบ้านเมือง
อปริหานิยธรรม
หมายถึง ธรรมที่เป็นเหตุให้เกิดความเจริญฝ่ายเดียว มีความเสื่อมมี ๒ ประเภท คือ
ราชอปริหานิยธรรม และภิกขุอปริหานิยธรรม
คือธรรมในการปกครองบ้านเมืองและธรรมในการปกครองสงฆ์
บ้านเมืองใดที่บริหารประเทศโดยที่ประมุขยังรักษาธรรมทั้ง
๗ ประการของหมู่คณะนั้นไว้ได้อย่างเคร่งครัด
แสดงถึงความสามัคคีมีวินัยในการบริหารบ้างเมืองอย่างเข้มแข็งมีวามเป็นอั้นหนึ่งอันเดียวกัน
มีคุณธรรม รักษาประเพณีค่านิยมอย่างมั่นคงเหนียวแน่น
ใครจะมุ่งร้ายทำลายย่อมทำได้ยาก ใครคิดจะทำสงครามด้วยก็ต้องคิดให้หนัก
ถือเป็นหลักประศาสนศาสตร์ของการบริหารบ้านเมืองในยุคนั้น
ซึ่งมีทั้งหมด ๗ ประการด้วยกันคือ
๑. การหมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ ประชุมกันมากครั้ง
๒.
การพร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม และพร้อมเพรียงกันทำกิจที่พึงทำ
๓.
ไม่บัญญัติสิ่งที่มิได้บัญญัติไว้ไม่ล้มล้างสิ่งที่บัญญัติไว้แล้ว ถือมั่นในประเพณีที่สืบต่อกันมานาน
๔.
ยังสักการะ เคารพนับถือ
บูชาผู้มีพระชนมายุมากและสำคัญถ้อยคำของท่านเหล่านั้นว่าเป็นสิ่งที่ควรรับฟัง
๕.
ไม่ฉุดคร่าขืนใจกุลสตรีหรือกุลกุมารีให้อยู่ร่วมด้วย
๖.
ยังสักการะ เคารพนับถือ บูชาเจดีย์ทั้งในเมืองและไม่ละเลยการบูชาอันชอบธรรมที่เคยให้
เคยกระทำต่อเจดีย์เหล่านั้นให้เสื่อมสูญไป
๗.
ยังจัดการรักษาคุ้มครอง ป้องกันพระอรหันต์ทั้งหลายโดยชอบธรรม ด้วยตั้งใจว่า
ทำอย่างไรพระอรหันต์ที่ยังไม่มา
พึงมาสู่แว่นแคว้นของเราและท่านที่มาแล้วพึงอยู่อย่างผาสุก
อธิปเตยยะ ๓
๑
อัตตาธิปเตยยะ
๒ โลกาธิปเตยยะ
๓
ธัมมาธิปเตยยะ
อธิปเตยยะ คือ
ความเป็นใหญ่ ความต้องการความเป็นใหญ่ ความยิ่งใหญ่ ในที่นี้จำแนกได้ 3 ประการคือ
๑
อัตตาธิปเตยยะ คือความมีตนเป็นใหญ่ จะทำอะไรๆ
ก็ปรารภตนเองเป็นใหญ่มุ่งให้เหมาะสมตัวเองเป็นใหญ่สมกันฐานะตนเอง ปรารภตนเป็นที่ตั้ง
เช่น ถ้าตนเป็นใหญ่ก็ทำด้วยมุ่งให้เหมาะสมกับภาวะของตนเอง
ทำด้วยมุ่งผลอันจะได้แก่ตน ทำด้วยความสะดวกแห่งตน
๒ โลกาธิปเตยยะ ความมีโลกเป็นใหญ่
ได้แก่ การจะทำอะไรทุกอย่างต้องปรารภโลกเป็นที่ตั้ง เช่น คนที่ละเว้นความชั่ว
เพราะกลัวคนอื่นเขานินทาตำหนิทำความดี เพราะต้องการให้เขายกย่องสรรเสริญ
ทำตามความนิยมของชาวโลกบางทีเรียกว่า ประชาธิปไตย
คือการถือเอาความคิดเห็นของคนส่วนมากเป็นประมาณ
๓ ธัมมาธิปเตยยะ ความมีธรรมเป็นใหญ่
ได้แก่ การจะทำอะไรทุกอย่างต้องปรารภธรรมเป็นที่ตั้งทำด้วยความเมตตากรุณา เสียสละ
มุ่งให้เกิดประโยชน์แก่คนอื่น แม้ใครจะไม่ยกย่องสรรเสริญ ก็พร้อมที่จะทำ
เรียกว่าทำดีเพราะเห็นว่าดี ละชั่วเพราะเห็นว่าชั่ว
ถ้าตามหลักการบริหารในปัจจุบันก็ได้แก่
หลักการบริหารที่มีประสิทธิภาพ (Edgar L
Morphet )
การบริหารที่มีผู้บริหารเพียงคนเดียวในองค์การ
(Division Of Labor)
มีการกำหนดมาตรฐานทำงานที่ชัดเจน
(Srandardization)
มีเอกภภาพในการบังคับบัญชา
(Untity of command)
มีการกระจายอำนาจและความรับผิดชอบให้แก่ผู้ร่วมงาน
(Delegation of Authority and
Responsibility)
มีการแบ่งฝ่ายงานและบุคลากรผู้รับผิดชอบให้แก่ผู้ร่วมงานให้เฉพาะเจาะจงขึ้น
(Division of Labor)
มีการกำหนดมาตรฐานการทำงาน
ที่ชัดเจน (Span of control)
มีการมอบหมายการควบคุมดูแลที่เหมาะสม
(Stability)
เปิดโอกาสให้มีการเปลี่ยนแปลงใหม่
ๆ ในองค์การได้ (Flexibility)
สามารถทำให้คนในองค์การเกิดความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย
(Security)
มีการยอมรับนโยบายส่วนบุคคลที่มีความสามารถ
(Personnel Policy)
มีการประเมินผลการปฏิบัติงานทั้งส่วนบุคคลและองค์การ
(Evaluation)
ปัญญหาของผู้บริหารหรือปัญหาในการปกครอง
อาจจะพบในลักษณดังเช่นต่อไปนี้
ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับบุคคลในองค์การไม่เพียงแต่จะเป็นผลต่อบุคคลข้างเคียงแล้ว
และชุมชนด้วยปัญหาเหล่านี้ได้แก่
ปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติที่เป็นแบบอย่างของบุคลในองค์การ
(Typical Problem)
ปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้ร่วมงานในองค์การ
(The Problem of interelationship)
ปัญหาเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสาร
ทั้งด้านเอกสารและคำพูดของบุคคลในองค์การ (The
Problem of conmmunication)
ปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงต่าง
ๆ (The Problem of Change)
สิ่งที่นักปกครองควรงดเว้น
ซึ่งได้แก่สิ่งที่นักปกครองควรจะละเว้นและไม่ควรจะให้มีขึ้นหรือเกิดขึ้น
เพราะสิ่งเหล่านี้มันจะนำพามาซึ่งความไม่สงบร่มเย็นและอาจจะเกิดความล่มจมได้ คือ
อคติ ตามหลักพุทธศาสนามีดังนี้
หมายถึงแนวทางที่ไม่ควรปฏิบัติ
เพราะเมื่อปฏิบัติไปย่อมทำให้หมู่คณะ กิจการ
และความดีงามดำเนินต่อไปได้ยากหรือไปไม่รอด
อคติ มี ๔ อย่าง คือ
อคติ
แปลกันว่า ความลำเอียง หมายถึง
ความเอนเอียงเข้าข้าง ความไม่ยุติธรรมความไม่เป็นกลาง ความไม่เป็นหลัก
อคติแปลอีกแบบหนึ่งว่า การดำเนินไปในแนวทางที่ไม่สมควร ไม่ควรไป หรือ
ไปไม่ได้ ๑ ฉันทาคติ ลำเอียงเพราะรักชอบพอ
๒ โทสาคติ ลำเอียงเพราะไม่ชอบ
๓
ภยาคติ ลำเอียงเพราะกลัว
๔
โมหาคติ ลำเอียงเพราะหลง
ท่านว่า
อคติเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ซึ่งเป็นผู้ปกครองหรือเป็นผู้นำหมู่คณะควรเว้น ถ้าเว้นไม่ได้ ความเป็นผู้ใหญ่ ความเป็นหลัก
ความยุติธรรมก็ไปไม่รอด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น