นาฬิกา

เซี่ยมซีหลวงพ่อพระชีว์

สรุปตลาดหุ้น

ตารางฟุตบอล

สร้างรายได้เพียงง่ายๆ

Subscribe in a reader Google AdSense คือบริการจาก Google ที่ให้ผู้ที่มีเว็บไซต์ สามารถหารายได้โดยการนำ Code ที่ได้จากการสมัครเป็นสมาชิกของ Google มาใส่ไว้ที่เว็บไซต์ของตนเอง ซึ่ง Code นั้นจะเป็น โฆษณาที่ส่งมาจาก Google โดยโฆษณานั้น ๆ จะเป็นโฆษณาที่มีเนื้อหาสอดคล้องกับเนื้อหาของเว็บไซต์ของคุณ ตัวอย่างเช่นถ้าเว็บไซต์ของคุณเป็นเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว โฆษณาที่ส่งมาจาก Google ก็อาจเป็นเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับ โรงแรม,สายการบิน เป็นต้น

ข้อความ

ข้อความ

วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554

ธรรมประยุกต์(ปฏิเวธ)

ธรรมประยุกต์ (ปฏิเวธ) การฝึกลมปราณและการรักษาโรคด้วยลมปราณ พุทธและวิทย์คิดเหมือนกันอย่างไร? Posted by physigmund_foid , พลังภายในและพลังจักรวาลอธิบายและพิสูจน์ได้ด้วยทฤษฎีฟิสิกส์ ร่างกายของเราประกอบด้วยสสารมากมาย เมื่อแยกอนุภาคของสสารจนเล็กที่สุดแล้ว จะได้เพียงพลังงานเท่านั้นเอง ดังสมการ E = MC2 ของไอสไตน์ สสารทุกชนิดประกอบจากพลังงานทั้งสิ้น เป็นรากฐานอณูที่เล็กที่สุด ทว่าตาเนื้ออับหยาบของเราไม่สามารถของเห็นได้ละเอียดขนาดนั้น แต่จิตของเราก็ฝึกให้สำรวจร่างกายให้ละเอียดในระดับนั้นได้ครับ ดังนี้ ไม่ยากเลย หากเราจะฝึกจิตดูพลังงานที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นร่างกายเนื้อที่ชวนให้หลงใหลนี้ เมื่อสัมผัสพลังงานเหล่านี้ได้ก็จะเห็นว่ามนุษย์แต่ละคนไม่ว่างดงามหรือน่าเกลียดก็เป็นพลังงานกลุ่มก้อนหนึ่งเท่านั้น ที่รอวันแปร เปลี่ยนอนิจจังในวันหนึ่ง ในร่างกายของเรา หากเราจะมองเป็นกลุ่มพลังงาน เราสามารถเรียกกลุ่มพลังงานนี้ได้ว่า “กายทิพย์” หรือ หากถ่ายรูปที่จับพลังงานก็ถ่ายได้เป็น “ออร่า” ครับ ส่วนบางท่านที่เปิดตาทิพย์แล้วเห็นกายทิพย์เป็นรูปร่างนั้น ก็อุปมาเหมือนไส้เดือนไม่รู้ว่าไส้เดือนด้วยกันมีรูปร่างอย่างไรแม้นมันตาบอด แต่มันก็รู้ได้ว่าอีกตัวเป็นไส้เดือนในอีกรูปแบบหนึ่ง จึงสามารถจับคู่ผสมพันธุ์กันได้ ในขณะที่มนุษย์เรามองเห็นไส้เดือนในอีกรูปแบบหนึ่งครับ ดังนี้ การเห็นกายทิพย์ด้วยตาทิพย์ จึงเป็นการเห็นด้วยประสาทสัมผัสอีกแบบซึ่งต้องใช้การปรุงแต่งร่วมกันของอายตนะทางกายอยู่ การมองเห็นนั้นไม่ใช่จิตล้วนๆ ยังมีส่วนที่ใช้อายตนะทางกายช่วยปรุงให้ชัด คือยังต้องใช้ “สัญญาขันธ์” ของความเป็นคนปรุงอยู่ ดังนั้น “กายทิพย์” ที่บางท่านมีตาทิพย์เห็นได้นั้น จึงเป็น “เปลือก” หรือ “สัญลักษณ์” ที่เราต้องมาตีความและแปลความหมาย เช่น บางท่านเห็นกายทิพย์หัวขาด ไม่ได้แปลว่ากายทิพย์หัวขาด แต่หมายถึงการใกล้ตาย ในขณะที่หากนำไปถ่ายด้วยกล้องออร่า จะพบว่ามีสีออร่าเป็นสีดำ จะเห็นได้ว่าลักษณะที่เห็นด้วยตาทิพย์ ก็ยังแตกต่างจากการถ่ายด้วยกล้องวิทยาศาสตร์ แต่ก็สามารถแปลความหมายได้เหมือนกัน ดังนั้น รูปกายทิพย์ที่เราเห็นด้วยตาทิพย์ จึงไม่ใช่สิ่งที่จะยึดว่าใช่ แต่เป็นแค่สัญลักษณ์ให้เราใช้ปัญญาตีค่า ให้เรามองให้ลึกถึงแก่นความหมายที่แท้จริง กายทิพย์จะสวยงามอย่างไร ไม่ใช่สิ่งที่จะมาหลงใหลใคร่ยึดติด เพราะความจริง เป็นแค่พลังงานกลุ่มหนึ่งในจักรวาลเท่านั้นเอง การรับรู้พลังงานในร่างกายของเราผ่านการรับรู้ทางจิตในอีกรูปแบบหนึ่ง คือ การฝึกสัมผัสพลังงานด้วยจิตโดยตรง เมื่อสามารถสัมผัสพลังงานเหล่านี้ได้ จะสามารถศึกษาและเข้าใจกระบวนการเปลี่ยนแปลงของพลังงานในร่างกายได้ เนื่องจากเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถพัฒนาได้ทันครับ พลังที่เราจะสัมผัสแบ่งได้เป็นสองส่วนใหญ่ๆ คือ พลังงานภายในตัวเราเอง และพลังงานภายนอกที่เรียกว่า “พลังจักรวาล” เมื่อสามารถเข้าใจพลังภายใน หรือที่เขาเรียกว่า “กำลังภายใน” ได้แล้ว ก็จะเกิดความรู้หรือปัญญาญาณขึ้น มีความเห็นที่เป็นสัมมาทิฐิ และประพฤติตนสอดคล้องกับพลังงานเหล่านั้น เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ตน ไม่เป็นโทษแก่ตนและผู้อื่นครับ ดังจะกล่าวต่อไป อนึ่ง พลังงานมีอยู่มากมายในทุกที่ แม้นแต่ในอวกาศที่ว่างของจักรวาล รัศมีดวงอาทิตย์หรือ Photon ก็เดินทางผ่านช่องว่างนี้ด้วยเหมือนกัน ทำให้ช่องว่างไม่ใช่ว่าจะไม่มีอะไรเลย บางครั้งนักวิทยาศาสตร์ก็สามารถวัดรังสีและคลื่นบางชนิดได้ในช่องว่างของอวกาศเหล่านี้ พลังงานที่มีอยู่ทั่วไปรอบตัวเรา เรียกว่า “พลังจักรวาล” คือ เป็นพลังงานสากลจักรวาล ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง เป็นของสาธารณะครับ ทุกคนอยู่ในจักรวาลนี้ล้วนได้รับประโยชน์และโทษจากพลังงานเหล่านี้ทั้งสิ้น ดังนั้น บางท่านจึงได้ฝึกฝนร่างกายและจิตใจในการสัมผัสพลังจักรวาล แล้วแยกประเภทของพลังงานในรูปแบบต่างๆ ที่เป็นคุณและโทษเพื่อเลือกรับ และหลีกเลี่ยงได้อย่างถูกต้องครับ สำหรับท่านที่ไม่มีความรู้เรื่องพลังจักรวาลเช่นนี้ เมื่อมีความอยากได้พลังงาน บางก็หลงทางอุตริไปก่อกรรม ด้วยการดูดพลังของคนด้วยกันเอง เพราะคิดว่าจะทำให้ตนดีขึ้น เก่งขึ้น บางท่านก็ถูกสอนผิดๆ ให้ไปดูดพลังต้นไม้ จนต้นไม้ตาย บางท่านก็ไปดูดพลัง ขอพลังจากสิ่งลี้ลับที่ไม่ใช่พลังบริสุทธิ์ส่งผลให้จิตใจไม่บริสุทธิ์และก่อบาปก่อกรรม จนต้องรับกรรมในที่สุด ดังนั้น ผู้ฝึกสัมผัสพลังจักรวาล จึงไม่ต้องไปดูด ไปขอรับพลังงานจากใครเลย เพราะพลังงานวนเวียนถ่ายเทเข้าออกอยู่ทั่วไปเป็นอิสระสากลอยู่แล้ว ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง และก็ไม่ใช่ของอาจารย์ผู้ฝึกสอนที่ต้องถ่ายพลังให้เรา ไม่จำเป็นต้องไปยึดตัวบุคคลผู้วิเศษคนใด เราสามารถฝึกสัมผัสและ “เลือกรับ” พลังเหล่านั้นได้ด้วยตัวเองครับ เพราะพลังมันผ่านตัวเราอยู่แล้วตลอดเวลาทั้งดีและเลว ดังนั้น ไม่สำคัญว่าเราต้องไปขอ หรือไปดูดพลังใคร ที่สำคัญคือ เราต้องฝึกเลือกที่จะรับพลังด้านบวก และเลี่ยงพลังด้านลบก็เท่านั้นเอง ร่างกายก็เป็นสิ่งหนึ่งที่อนัตตา คือ ไม่ใช่ระบบปิดกั้นออกจากสิ่งแวดล้อมได้อย่างสนิท มันไม่ใช่ตัวตนของตนปลีกตัวแยกไปได้ ดังนั้น สิ่งเหล่านี้ล้วนวนเวียนผ่านเข้าออกร่างกายเราตลอดเวลาครับ ไม่ต้องไปฝึกอะไรมากก็ได้ ขอเพียงเราเลือกรับสิ่งดีๆ ที่จักรวาลส่งมาตลอด และหลีกเลี่ยงสิ่งเลวๆ ที่วนเวียนอยู่ในจักรวาลก็พอ สำหรับท่านที่ฝึกเปิดจักระนั้น ผมได้พบว่า เป็นเรื่องของระบบภายใน “ร่างกาย” เราเองครับ คือ ระบบหมุนเวียนพลังงานภายในร่างกาย หรือ พูดอีกแบบหนึ่งก็คือ ระบบการทำงานของ “กายทิพย์” ซึ่งการทำงานเพื่อรักษาสมดุลของมันเทียบได้กับร่างกายเนื้อที่ต้องมีการหายใจเข้าออกตลอด เวลา เราจึงเรียกมันว่า “ลมปราณ” เพื่อให้เข้าใจง่ายๆ แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ลม มันเป็นพลังงานในร่างกายที่หมุนเวียนเข้าออกราวกับลมหายใจเท่านั้นเองครับ การเปิดจักระทั้งเจ็ดนั้น คือ ระบบการหมุนเวียนพลังงานภายในร่างกายเราครับ เปิดให้มันหมุนเวียนได้สะดวกและสมดุล ดังนั้น เมื่อภายในร่างกายทิพย์ มีการหมุนเวียนพลังงานที่สะดวกไม่ติดขัดและสมดุลดีแล้ว ต่อไปก็เรียกรู้ที่จะเลือกรับและหลีกเลี่ยงพลังงานจักรวาลภายนอกร่างกายที่มีทั้งดีและเลวครับ ส่วนพลังจักรวาลนั้น ขอย้ำว่าไม่ต้องไปฝึกดึงมาก็ยังได้ เพราะมันไหลเวียนเข้ามาเอง ไม่มีร่างกายคนใดจะไปห้ามการถ่ายเทของพลังงานในจักรวาลได้ครับ ส่วนบางท่านที่จำเป็นต้องฝึกดึงหรือผลักพลังก็เพื่อความชำนาญเช่นยามรักษาโรค ที่ต้องดึงและผลักเฉพาะจุดครับ ดังนั้น จะเห็นว่าพลังงานเป็นเรื่องฟิสิกส์ทั้งสิ้น และการเดินลมปราณต่างๆ ก็เป็นเรื่องฟิสิกส์ของร่างกายมนุษย์ เป็นธรรมชาติของมัน เป็นเรื่องธรรมดา ที่เราต้องทำให้เป็นปกติธรรมดา ไม่ใช่ออกนอกลู่นอกทางไปทำสัปดนเข้านะครับ ดังนั้น บางท่านที่ไปฝึกพลังอะไรมา แล้วมาเล่าอาการแปลกๆ ก็ขอให้ระลึกว่าไปฝึกมาผิดวิธีหรือไม่ หรืออุปทานไปเองครับ เพราะเรื่องที่เราปฏิบัตินี้เป็นเรื่องธรรมดา ธรรมชาติ ดังนั้น เมื่อปฏิบัติแล้วก็ย่อมต้องได้รับผลเป็นธรรมดา ธรรมชาติ เช่น จากเดิมที่ป่วยเรื้อรังรักษายาวนานผิดปกติ ก็กลายเป็นรักษาหายได้เร็วขึ้นตามปกติครับ ไม่ใช่เรื่องพิสดาร แต่เรื่องของร่างกายมนุษย์นี้ก็มีความมหัศจรรย์อยู่มากนะครับ คือ ขึ้นอยู่กับมนุษย์เองจะดูแลรักษาร่างกายของเขาอย่างไร บางท่านรักษาดี ก็อยู่ได้นานกว่ามนุษย์ทั่วไปถึงสองสามเท่า เช่น มีอายุยืนสองถึงสามร้อยปีก็มี บางท่านรักษาร่างกายได้ดี ความแก่ก็ไม่ค่อยมี อายุ ๖๐ ปี ก็ดูเหมือนคนอายุ ๒๐ ปี จริงๆ แล้วเรื่องใบหน้าที่ดูแก่นี้ มันเกี่ยวข้องโดยตรงกับการหมุนเวียนอาหารหล่อเลี้ยงเซลชั้นนอก ซึ่งระบบเส้นเลือดฝอยไม่สามารถลำเลียงได้ถึง มันจะอาศัยการแพร่และออสโมซิส ผ่านเซลและช่องว่างระหว่างเซล ส่งต่อกันไป ดังนั้น เซลที่อยู่ห่างจากเส้นเลือดฝอยมากๆ จึงมีการขาดอาหารและอากาศหล่อเลี้ยงเมื่อระบบร่างกายเรามีอายุมากขึ้น มันจึงแก่ลงอย่างที่เห็นตามอายุนั่นแหละครับ ทว่าถ้าสามารถจัดการระบบตรงนี้ได้ดี ก็จะลดอัตราการขาดอาหารและอากาศของเซลที่อยู่ห่างไกลเส้นเลือดฝอยได้ ซึ่งวิธีการคือ การจัดการกับระบบพลังงานและไฟฟ้าขั้วบวกลบที่เหนี่ยวนำสารเคมีต่างๆ เหล่านี้นี่เอง ดังนั้น การเดินลมปราณ หมุนเวียนลมปราณ จึงเป็นการจัดการพลังงานให้ทั่วถึงครอบคลุมทั่วทุกเซลของร่างกาย อาบเลี้ยงให้เซลต่างๆ ได้รับอาหารและอากาศดี บางท่านฝึกอย่างสม่ำเสมอ จึงมีเซลที่ได้รับอาหารและอากาศดีมาก จึงดูอายุอ่อนกว่าจริงครับ นอกจากนี้ เมื่อมีอาการเจ็บป่วย เซลเหล่านั้นก็มีการหมุนเวียนอาหารและอากาศไม่ดี หากใช้พลังหมุนเวียนปรับสมดุล ก็จะทำให้การหมุนเวียนของอาหารและอากาศดี ระบบในร่างกายจะซ่อมแซมให้หายเร็วขึ้นครับ เรื่องของพลังงานในร่างกายมีการทำงานกับอย่างมีระบบนะครับ โดยจะเชื่อมโยงกันเจ็ดแห่งใหญ่ๆ เรียกว่า “จักระ” เพื่อควบคุมดูแลร่างกาย สังเกตไหมครับว่า เวลาเราตกใจสมองจะสั่งการหลั่งฮอร์โมนต่างๆ แต่ถามว่ามันสั่งการให้ต่อมหมวกไตหลังฮอร์โมนได้อย่างไรละครับ คำตอบก็คือ มันต้องใช้พลังงานที่เราอาจเรียกกันในทางการแพทย์ว่า “คลื่นสมอง” เพื่อกระตุ้นอวัยวะนั้นๆ หรือมันอาจอาศัยประจุไฟฟ้าจาก “เซลประสาท” ในการสั่งการอวัยวะต่างๆ ซึ่งก็คือ “พลังงาน” อีกรูปแบบหนึ่งใช่ไหมละครับ พลังงานเหล่านี้รวมกันในร่างกาย มันก็คือ กำลังภายใน ที่จะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของเรา ระบบจักระคือศูนย์การการจัดการพลังงานในร่างกายโดยแบ่งหน้าที่แตกต่างกันออกไป สมองเป็นผู้สั่งการโดยอัตโนมัติเป็นหลัก ยกตัวอย่างเช่น ไฟไหม้บ้าน ร่างกายจะได้รับภัย ก็เกิดระบบสั่งการแบบอัตโนมัติสั่งให้ต่อมหมวกไต หลั่งสาร “อดีนาลีน” ซึ่งให้พลังงานแก่เราในการหนี บางท่านมีพลังมากมายผิดมนุษย์ สามารถยกโอ่งน้ำทั้งโอ่งพร้อมน้ำหนีออกมาได้เสียด้วยครับ พอหายตกใจแล้วปรากฏว่ากลับไม่สามารถทำได้เลย บางท่านจะเรียกพลังนี้ว่า “กุณฑลิณี” นั่นคือ กระบวนการดูแลร่างกายของเราอย่างเป็นธรรมชาติและมีอยู่ในคนทุกคนโดยธรรมชาติ เพราะธรรมชาติสร้างมันมาให้รักษาเราอย่างเป็นธรรมชาติครับ หากเรายังไม่ตายก็ยังไม่สูญสิ้นลมปราณ ลมปราณเหล่านี้ย่อมยังมีอยู่ และทำหน้าที่ของมันอย่างเป็นธรรมชาติครับ หลายครั้ง เราได้รับพลังนี้ โดยไม่รู้ตัวเพราะไม่ได้ศึกษาเรื่องพลังจิตและพลังงานภายในร่างกาย ทำให้เราทำอะไรมากเกินพอดี หรือที่เรียกว่า “ตัณหา” เพราะพลังงานเหล่านี้ละครับเป็นตัวกระตุ้นจิต จิตของเรามันบริสุทธิ์นะครับ ไม่ได้ผิดปกติอะไร แต่มันรู้จำกัด รู้ไม่หมด รู้บางอย่างบางส่วน ทำหน้าที่เป็นผู้รู้ผู้สั่ง แต่หากยังไม่บรรลุอรหันต์มันก็ยังรู้ไม่หมดครับ ดังนี้ จิตมักเผลอถูกพลังเหล่านี้กระตุ้นให้ทำงานมากผิดปกติ และด้วยความเข้าใจผิดๆ ของจิต จึงไปคิดเอาว่าเป็นเพราะปัจจัยภายนอกเป็นตัวกระตุ้น เช่น เห็นบ้านแล้วอยากได้ครอบครอง อันนี้มันแค่เป็นตัวกระตุ้นเฉยๆ ว่าคนเราต้องมีบ้านอาศัย แต่แค่บ้านขนาดพออยู่ก็อยู่ได้แล้วครับ บังเอิญพลังภายในมันถูกกระตุ้นขึ้นมาเพื่อให้เรามีพลังงานในการทำงานจะได้เงินมาซื้อบ้านอยู่ แต่จิตไม่เข้าใจกระบวนการนี้ มันก็เลยบ้าทำงานครับ แล้วไปตั้งเป้ายึดเอาไว้ (อุปทาน) เพราะเห็นเพื่อนๆ ได้บ้านหลังใหญ่ เลยยึดเอาเพื่อนเป็นมาตรฐานว่าเราต้องได้อย่างนั้นบ้างหรือได้มากกว่านั้นเป็นต้น นี่คือกระบวนการที่มาของความหลง (อวิชชา) ที่อธิบายได้ด้วยหลักการทางชีววิทยาและหลักการฟิสิกส์ตามที่ได้กล่าวมานี้เอง การฝึกเรียนรู้และรู้จักลมปราณต่างๆ ในร่างกายทำให้สามารถปรับตัวอยู่กับมันได้อย่างพอดี เมื่อใดที่เราต้องการใช้มาก เช่น หนีคนที่จะจู่โจมเรา เราก็สามารถเรียกขึ้นมาใช้ได้โดยมี “สติ” ไม่ใช่ขาดสติเหมือนคนที่ตกใจยกโอ่งตอนไฟไหม้บ้าน แต่พอไม่มีภาวะคับขันเกิดขึ้น เราก็สามารถปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติได้ง่าย ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานอะไรมากมายครับ นอกจากนี้แล้ว เรายังต้องเรียนรู้เรื่องพลังงานภายนอกอีกด้วย เพราะพลังงานภายนอกเหล่านี้มีผลต่อร่างกายและจิตใจของเราด้วย เช่น การที่ไปคอนเสิร์ตฮาร์ดร็อค ทำให้เราถูกกระตุ้นอยากยกพวกตีกัน บางคนอยากฆ่าตัวตายในนั้นเลยก็มี จะเห็นได้ว่ามีพลังงานคลื่นเสียงบางอย่างแฝงอยู่ ที่กระตุ้นขับดันให้คนทำอย่างนั้นได้ ดังนั้น ผู้เรียนรู้พลังจักรวาลนอกจากการปรับระบบภายในร่างกายให้เข้าสู่ความเป็นปกติ มีความสมดุลและโปร่งโล่งเชื่อมโยงกับธรรมชาติไม่ติดขัดตามหลักอนัตตาแล้ว ยังต้องเรียนรู้ที่จะไวต่อการจับพลังงานรอบตัวที่มีอยู่ตลอดเวลา เช่น คนที่มีจิตโลภ ชอบเข้าหาเรา ชวนเราคุยอย่างดี อัธยาศัยดี คุยเก่ง และมักใช้ “พลังจิต” โน้มน้าวให้เรามีความอยากได้ อยากมี อยากเป็น เพิ่มมากขึ้น คนแบบนี้มีมากมายในสังคมครับ เขาเป็นเหมือนสื่อเหนี่ยวนำพลังด้านลบ คือ “โลภะ” ซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพกายและจิตของเราครับ เราจึงต้องฝึกเลือกรับและหลีกเลี่ยงพลังงานด้านลบต่างๆ เหล่านี้ เช่น โฆษณาชวนให้ซื้อตามทีวี, หนังละครน้ำเน่าที่ด่าทอกัน, คนที่จิตใจไม่ดี ฯลฯ พึงหลีกเลี่ยงครับ

ไม่มีความคิดเห็น: