นาฬิกา

เซี่ยมซีหลวงพ่อพระชีว์

สรุปตลาดหุ้น

ตารางฟุตบอล

สร้างรายได้เพียงง่ายๆ

Subscribe in a reader Google AdSense คือบริการจาก Google ที่ให้ผู้ที่มีเว็บไซต์ สามารถหารายได้โดยการนำ Code ที่ได้จากการสมัครเป็นสมาชิกของ Google มาใส่ไว้ที่เว็บไซต์ของตนเอง ซึ่ง Code นั้นจะเป็น โฆษณาที่ส่งมาจาก Google โดยโฆษณานั้น ๆ จะเป็นโฆษณาที่มีเนื้อหาสอดคล้องกับเนื้อหาของเว็บไซต์ของคุณ ตัวอย่างเช่นถ้าเว็บไซต์ของคุณเป็นเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว โฆษณาที่ส่งมาจาก Google ก็อาจเป็นเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับ โรงแรม,สายการบิน เป็นต้น

ข้อความ

ข้อความ

วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2554

ปลาอานนท์


ปลาอานนท์ กับ โลกที่ผ่านมา เกือบหนึ่งอสงไขย์ (200 ล้านปี)



อันโบราณกาลละครั้งนั้น เล่าขานกันว่า "ปลาอานน" หรือ "ปลาอานนท์" นี่เป็นปลาที่เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยสร้างโลกใหม่ๆ เป็นปลาที่มีภาระหนักมาก เพราะจะต้อง "แบกน้ำหนักของโลกไว้"

ปลาอานน มีร่างกายใหญ่โตโอฬารมากมายเหลือคณา เล่ากันว่าหากวัดความยาวของปลาอานนท์ นี้นับได้เป็นพันๆ โยชน์เชียวหล่ะท่าน

ปลาอานน นิ่งสงบ และแบกโลกไว้ แต่อยู่มาก็อาจจะเกิดความเมื่อยขบ ก็เลยพลิกตัวบ้าง เพื่อเป็นการเปลี่ยนอิริยาบท ที่ได้แบกโลกไว้ ก็เลยทำให้เกิดแผ่นดินไหว ภัยพิบัติเหนือผิวโลก ลมฟ้าแปรปรวน .....

นี่แหล่ะคือสาเหตุที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหว เขาว่ามาอย่างนั้น !!!
ปลาหิมพานต์ มีปลาใหญ่ 7 ตัว ชื่อตามลำดับไหล่ ติรณะ ติมิงคละ ตรปิงคละ อานนท์ นิรยะ อัชฌนาโรหะ และ มหาติมิ ปลาอานนท์ ชื่อลำดับที่ 4 ตัวใหญ่ๆ หนุนชมพูทวีป เวลาแผ่นดินไหว ผู้ใหญ่เคยเล่าว่าปลาอานนท์กระดิกตัว7 ปลาผู้ยิ่งใหญ่ ตัวเล็กที่สุด ยาว 75 โยชน์ ตัวใหญ่ ยาวถึง 5 พันโยชน์ เวลากระดิกหาง ทะเลก็จะปั่นป่วนตีฟอง ดังหม้อแกงเดือดไกลไปตั้ง 800 โยชน์ ที่น่าแปลกใจ จินตนาการโบราณ มีปลาใหญ่หนุนโลกอยู่ 7 ตัว วันนี้ วิชาธรณีวิทยาก้าวหน้า พบว่า แผ่นดินที่เราอยู่บนเปลือกโลกต่อกันเป็นทอดๆ 8 แผ่น ลอยอยู่บนก๊าซที่เป็นของเหลว ใกล้เคียงปลาอานนท์หนุนโลกเต็มที

ความอัศจรรย์ไม่เคยมีในมหาสมุทร ๘ ประการ
[๔๔๙] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ความอัศจรรย์ ไม่เคยมี ในมหาสมุทร ๘ อย่างนี้ ที่พวกอสูรพบเห็น
แล้ว พากันชื่นชมอยู่ในมหาสมุทร ๘ อย่างเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย มหาสมุทรลุ่มลึกลาดลงไปโดยลำดับ มิใช่ลึกมาแต่
เดิมเลย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่มหาสมุทรลุ่มลึกลาดลงไปโดยลำดับมิใช่ลึกมา
แต่เดิมเลย นี้เป็นความอัศจรรย์ ไม่เคยมี ในมหาสมุทรเป็นข้อที่ ๑ ที่พวก
อสูรพบเห็นแล้ว พากันชื่นชมในมหาสมุทร ฯ
[๔๕๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง มหาสมุทรตั้งอยู่ตามธรรมดาไม่ล้นฝั่ง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่มหาสมุทรตั้งอยู่ตามธรรมดาไม่ล้นฝั่ง แม้นี้เป็น
เป็นความอัศจรรย์ ไม่เคยมี ในมหาสมุทรเป็นข้อที่ ๒ ที่พวกอสูรพบเห็นแล้ว
พากันชื่นชมในมหาสมุทร ฯ
[๔๕๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง มหาสมุทรไม่ร่วมกับซากศพที่ตายแล้ว
ซากศพที่ตายแล้วใดมีอยู่ในมหาสมุทร มหาสมุทรย่อมนำซากศพที่ตายแล้วนั้นไป
สู่ฝั่ง ซัดขึ้นบกโดยพลัน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่มหาสมุทรไม่ร่วมกับซากศพที่ตายแล้ว ซากศพ
ที่ตายแล้วใดมีอยู่ในมหาสมุทร มหาสมุทรย่อมนำซากศพที่ตายแล้วนั้นไปสู่ฝั่ง
ซัดขึ้นบกโดยพลัน แม้นี้ก็เป็นความอัศจรรย์ ไม่เคยมี ในมหาสมุทร เป็นข้อ
ที่ ๓ ที่พวกอสูรพบเห็นแล้ว พากันชื่นชมในมหาสมุทร ฯ
[๔๕๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง แม่น้ำใหญ่บางสาย คือ แม่น้ำคงคา
ยมุนา อจิรวดี สรภู มหี ไหลถึงมหาสมุทรแล้วย่อมละนามและโคตรเดิมเสีย
ถึงซึ่งอันนับว่ามหาสมุทรทีเดียว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่แม่น้ำใหญ่บางสาย คือ แม่น้ำคงคา ยมุนา
อจิรวดี สรภู มหี ไหลถึงมหาสมุทรแล้ว ย่อมละนามและโคตรเดิมเสีย ถึง
ซึ่งอันนับว่ามหาสมุทรทีเดียว แม้นี้ก็เป็นความอัศจรรย์ ไม่เคยมีในมหาสมุทรข้อ
ที่ ๔ ที่พวกอสูรพบเห็นแล้วพากันชื่นชมในมหาสมุทร ฯ
[๔๕๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง แม่น้ำบางสายในโลกที่ไหลไป ย่อม
ไปรวมยังมหาสมุทร และสายฝนยังตกลงมาจากอากาศ ความพร่องหรือความเต็ม
ของมหาสมุทรย่อมไม่ปรากฏ เพราะเหตุนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่แม่น้ำบางสายในโลกที่ไหลไป ย่อมไปรวมยัง
มหาสมุทร และสายฝนยังตกลงมาจากอากาศ ความพร่องหรือความเต็มของ
มหาสมุทร ไม่ปรากฏ เพราะเหตุนั้น แม้นี้ก็เป็นความอัศจรรย์ ไม่เคยมี ใน
มหาสมุทรเป็นข้อที่ ๕ ที่พวกอสูรพบเห็นแล้ว พากันชื่นชมในมหาสมุทร ฯ
[๔๕๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง มหาสมุทรมีรสเค็มรสเดียว ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย ข้อที่มหาสมุทรมีรสเค็มรสเดียว แม้นี้ก็เป็นความอัศจรรย์ ไม่เคย
มีในมหาสมุทรเป็นข้อที่ ๖ ที่พวกอสูรพบเห็นแล้ว พากันชื่นชมในมหาสมุทร ฯ
[๔๕๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง มหาสมุทรมีรัตนะมาก มีรัตนะมิใช่
ชนิดเดียว รัตนะในมหาสมุทรนั้นเหล่านี้ คือ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์
สังข์ ศิลา แก้วประพาฬ เงิน ทอง ทับทิม มรกต
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่มหาสมุทรมีรัตนะมาก มีรัตนะมิใช่ชนิดเดียว
รัตนะในมหาสมุทรนั้นเหล่านี้ คือ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ ศิลา
ประพาฬ เงิน ทอง ทับทิม มรกต แม้นี้ก็เป็นความอัศจรรย์ ไม่เคยมีใน
มหาสมุทร เป็นข้อที่ ๗ ที่พวกอสูรพบเข้าแล้ว พากันชื่นชมในมหาสมุทร ฯ
[๔๕๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง มหาสมุทรเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์
ใหญ่ๆ สัตว์ใหญ่ๆ ในมหาสมุทรนั้นเหล่านี้ คือ ปลาติมิ ปลาติมิงคละ ปลา
ติมิติมิงคละ ปลามหาติมิงคละ อสูร นาค คนธรรพ์ อยู่ในมหาสมุทร มี
ลำตัวตั้งร้อยโยชน์ก็มี สองร้อยโยชน์ก็มี สามร้อยโยชน์ก็มี สี่ร้อยโยชน์ก็มี
ห้าร้อยโยชน์ก็มี
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่มหาสมุทรเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ใหญ่ๆ สัตว์
ใหญ่ๆ ในมหาสมุทรนั้นเหล่านี้ คือ ปลาติมิ ปลาติมิงคละ ปลาติมิติมิงคละ
ปลามหาติมิงคละ อสูร นาค คนธรรพ์ อยู่ในมหาสมุทร มีลำตัวตั้งร้อยโยชน์ก็มี
... ห้าร้อยโยชน์ก็มี แม้นี้ก็เป็นความอัศจรรย์ ไม่เคยมีในมหาสมุทร เป็นข้อที่
๘ ที่พวกอสูรพบเห็นแล้ว พากันชื่นชมในมหาสมุทร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความอัศจรรย์ไม่เคยมีในมหาสมุทร ๘ อย่างนี้แล ที่
พวกอสูรพบเห็นแล้ว พากันชื่นชมอยู่ในมหาสมุทร ฯ

มหานทีสีทันดร
มหานที แปลว่า ห้วงน้ำใหญ่มาก สีทะ แปลว่า ทำให้ทุกๆ สิ่งจมลง อันตระ แปลว่า ระหว่าง รวมความว่ามหานทีสีทันดร แปลว่า มหาสมุทรใหญ่ที่มีน้ำละเอียดไม่มีสิ่งใดลอยอยู่ได้ ล้อมรอบภูเขาสิเนรุไปจรดภูเขาจักรวาล น้ำในมหานทีสีทันดรที่ว่าไม่มีสิ่งใดลอยอยู่ได้นั้นเพราะเป็นน้ำทิพย์ละเอียด แม้แต่แววหางนกยูงที่แสนจะเบาบางเมื่อตกลงไปยังไม่อาจจะลอยอยู่ได้ น้ำในนทีสีทันดรนั้นลึกมาก บริเวณรอบเขาสิเนรุจะลึกที่สุด และลึกน้อยลงเมื่ออยู่ไกลออกไป โบราณว่าแผ่นดินไหวเพราะปลาอานนท์พลิกตัว ปลาอานนท์หรือปลาอานันทะที่ว่านี้เป็นปลาใหญ่อยู่ในมหานทีสีทันดร ซึ่งนอกจากจะมีปลาอานนท์แล้วก็ยังมีปลาใหญ่อื่นๆ อีกรวม ๘ ชนิด คือ
ปลาติมิ ใหญ่ ๒๐๐ โยชน์
ปลาติมิงคละ ใหญ่ ๓๐๐ โยชน์
ปลาติมิติมิงคละ ใหญ่ ๔๐๐ โยชน์
ปลาติมิรมิงคละ ใหญ่ ๕๐๐ โยชน์
ปลาอานันทะ ใหญ่ ๑,๐๐๐ โยชน์
ปลาติมินทะ ใหญ่ ๑,๐๐๐ โยชน์
ปลาอัชฌาโรหะ ใหญ่ ๑,๐๐๐ โยชน์
ปลามหาติมิ ใหญ่ ๑,๐๐๐ โยชน์
ด้วยความที่เป็นปลาตัวใหญ่มากนี่เอง เมื่อปลาติมิรมิงคละกระดิกหูเพียงข้างเดียวก็ทำให้น้ำกระเพื่อมไกลถึง ๕๐๐ โยชน์ หรือเมื่อกระดิกหัวหรือกระดิกหาง น้ำก็จะกระเพื่อมไปไกล ๕๐๐ โยชน์เหมือนกัน ยิ่งถ้าถึงขั้นกระดิกหูพร้อมกันสองข้าง เอาหางฟาดน้ำ หรือส่ายหัวเล่นน้ำ น้ำก็จะเป็นฟองเดือดพล่านไปไกลถึง ๗๐๐-๘๐๐ โยชน์เลยทีเดียว
ในคัมภีร์พระไตรปิฎกฝ่ายมหายานมีเรื่องราวของมหานทีสีทันดอนละเอียดและแปลกออกไปอีก คือ บอกว่าน้ำในนทีสีทันดรที่อยู่ระหว่างเขาสัตตบริภัณฑ์นั้นเป็นน้ำต่างชนิดกัน ๗ อย่าง คือ ๑ น้ำนม ๒ น้ำนมส้ม ๓ น้ำเนย ๔ น้ำอ้อย ๕ น้ำเหล้า ๖ น้ำจืด ๗ น้ำเค็ม เมื่อนับจากชั้นในไปชั้นนอกโดยลำดับ
มหานทีสันทันดรเป็นที่อยู่ของเทวดาจำพวกนาค เรียกว่า นาคเทวดา รวมทั้งนาคที่ไม่ใช่เทวดาด้วย ในคัมภีร์อรรถกถาพระไตรปิฎกไม่ได้พูดถึงเรื่องนาคกับครุฑรบกันเหมือนคัมภีร์ทางศาสนาพราหมณ์ เพียงแต่พูดถึงนิดหน่อยว่าครุฑสามารถจับนาคได้ถ้าเป็นนาคต่ำศักดิ์ โดยเฉพาะนาคบนระลอกคลื่นอาจถูกพวกครุฑจับตัวได้ง่ายๆ

ในสมัยโบราณมีความเชื่อกันว่า ใต้โลกที่คนเราอาศัยอยู่นี้ มีปลาตัวใหญ่ตัวหนึ่งหมุนอยู่ เรียกว่า ปลาอานนท์ และยังเชื่อกันว่า เวลาที่ปลาตัวนี้พลิกตัว จะทำให้แผ่นดินไหว แต่บางตำนานกล่าวว่า.....ปลาอานนท์เป็นหนึ่งในพญาปลาทั้ง 7 ที่อาศัยอยู่ในทะเลสีทันดร ซึ่งมีชื่อดังนี้
1. ติมิ
2. ติมิงคละ
3. ติมิงปิงคละ
4. อานนท์
5. ติมินท์
6. อัชฌโรหะ
7. มหาติมิ
ปลาทั้ง 7 นี้แต่ละตัวยาว 4,000,000 วา
จากวรรณกรรมนิราศนรินทร์คำโคลง ยังมีบทประพันธ์ที่กล่าวถึงชื่อปลาหนึ่งในเจ็ดตัวนี้ ดังนี้
นทีสี่สมุทรม้วย หมดสาย
ติมิงคล์มังกรนาคผาย ผาดส้อน.....
ปลาอานนท์ยังมีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับตำนานไฟล้างโลกด้วย คือ ..... เมื่อคนทั้งหลายทำบาป ไม่รู้จักบุญไม่รู้จักกรรมอันใดทั้งสิ้น ดังในคำกาพย์เรื่อง พระไชยสุริยา ของสุนทรภู่บรรยายไว้ว่า.....
ที่ซื่อถือพระเจ้า ว่าโง่เง่าเต่าปูปลา
ผู้เฒ่าเหล่าเมธา ว่าใบ้บ้าสาระอำ
ภิกาสมณะ เล่าก็ละพระธรรม
คาถาว่าลำนำ ไปเร่ร่ำทำเฉโก
.......... ..........
ลูกศิษย์คิดล้างครู ลูกไม่รู่คุณพ่อมัน
ส่อเสียดเบียดเบียนกัน ลอบฆ่าฟันคือตัณหา

เมื่อคนบาปทำบาปมากเข้า ผลของบาปก็ทำให้เกิดความแห้งแล้งไปทั่ว ฝนไม่ยอมตก แสงแดดแผดจ้า จนแหล่งน้ำทั้งหลายเหือดแห้งสัตว์น้ำต่างๆ พากันตายเกลือน ต่อจากนั้นก็จะเกิดตะวันขึ้น 2 ดวง .....ดวงหนึ่งตก อีกดวงหนึ่งก็จะขึ้นมาแทน ทำให้ไม่มีกลางคืน ความร้อนจะทำให้แห้งแล้งยิ่งขึ้น ผู้คนจะล้มตาย และคนดีจะไปสู่สวรรค์ คนเลวก็ตกนรกไป
จากนั้นก็จะมีตะวันขึ้นเป็น 3 ดวง, 4 ดวง และถึง 5 ดวง ......ทำให้แม่น้ำใหญ่ทั้ง 5 สระใหญ่...ทั้ง 7 ป่าหิมพานต์แห้งเหือดไป...ฝูงสัตว์น้ำตายสิ้น...น้ำในมหาสมุทรขอดเหลือเพียงข้อมือเดียว แล้ในไม่ช้าตะวันจะขึ้นเป็น 6 ดวง น้ำในมหาสมุทรแห้งสิ้น...ทั่วทั้งจักรวาลร้อนระอุเหมือนอยู่ในเตาเผา ในที่สุด ตะวันขึ้นเป็น 7 ดวง พญาปลาง 7 ซึ่งอยู่นทะเลสีทันดรทั้ง 7 ชั้นก็จะละลายไหลเป็นน้ำมันติดไฟลุกไหม้ขึ้น ดังประกาศแช่งน้ำ กล่าวถึงวันสิ้นโลกว่า.....
นานาอเนกน้าวเดิมกัลป์ จักร่ำจักราพาฬเมื่อไหม้
กล่าวถึงตะวันเจ็ดอันพลุ่ง น้ำแล้งไข้ขอดตาย
เจ็ดปลามันพุ่งหล้าเป็นไฟ วาบจตุราบายแผ่นขว้ำ
ชักไตรตรึงษ์เป็นเผ้า แลบ่ล้ำสีละอง...

กล่าวกันว่าเมื่อไฟล้างโลกนั้น ไฟจะไหม้ทั้งกามภูมิ 11 ชั้น คือ จตุราบายภูมิ มนุษยภูมิ ฉกามาพจรภูมิ และ พรหมโลก รวมเป็น 14 ชั้น
...ระยะไฟไหม้นั้นจะกินเวลานานถึงอสงไข ทุกอย่างสิ้นหมดแล้วโลกก็รอเวลาสร้างขึ้นมาใหม่ หมุนเวียนเปลี่ยนไปเป็นนิจนิรันดร์. (อสงไขยเป็นอนันตกาล)
เรื่องของโลก เรื่องของธรรม ที่คล้ายกัน ... โลกนี้มีการเปลี่ยนแปลง มานมนาน
ท่านพระอานนท์รับพระพุทธพจน์แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง (เรื่องโลกธาตุ) ว่า อานนท์ ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์แผ่รัศมี ส่องแสงทำ ให้สว่างไปทั่วทิศตลอดที่มีประมาณเท่าใด โลกมีเนื้อที่เท่านั้นจำนวน ๑,๐๐๐ ใน ๑,๐๐๐ โลกนั้น มีดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ภูเขาสิเนรุ อย่างละ ๑,๐๐๐ มีชมพูทวีป อปรโคยานทวีป อุตตรกุรุทวีป ปุพพวิเทหทวีปอย่างละ ๑,๐๐๐ มีมหาสมุทร มีมหาราช อย่างละ ๔,๐๐๐ มีสวรรค์ ๖ ชั้น และพรหมโลก ชั้นละ ๑,๐๐๐ นี้เรียกว่า สหัสสีจูฬนิกาโลกธาตุ (โลกธาตุอย่างเล็กมีพันจักรวาล).


การศึกษาทางธรณีวิทยา เรื่องการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก เมื่อ 200 ล้านปีก่อน หรือ ประมาณว่า 1 อสงไขย์

ข่าวแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น จนเกิดสึนามิ ทำให้นางราตรีคิดถึงพุทธทำนาย ที่ว่าโลกจะเกิดภัยพิบัติขึ้นจนสุดท้ายน้ำจะท่วมโลก จะเหลือคนแค่สองคนผู้ชายคนผู้หญิงคนไว้สร้างโลก จะเกิดโรคห่าล้างเมือง ผู้คนจะล้มตาย สารพัดเรื่องน่ากลัวที่ผู้เฒ่าผู้แก่บอกว่าฟังมาจากการเทศนาธรรมของพระสมัยเก่าที่เขาจะเทศน์กันในวันพระ
จากเรื่องโลกจะกลับไปสู่ยุคยากเข็ญ มุนษย์จะต้องสร้างโลกใหม่อีกครั้ง ก็มีนิทานเรื่องปลาอานนท์ ตอนเป็นเด็กเวลาแผ่นดินไหวยายจะให้กำดินไว้ในมือหนึ่งกำ ถ้ามีข้าวเหนียวก็เอาให้เอาข้าวเหนียววางกระหม่อม บอกว่าแผ่นดินไหวเกิดจากปลาอานนท์ที่นอนหลับแบกโลกพลิกตัวไปมา ถ้าวันไหนปลาอานนท์ตื่นปลาอานนท์จะไม่แบกโลก โลกจะวิบัติ ฉะนั้นถ้าแผ่นดินไหวให้กำดินไว้ให้มือ เพราะปลาอานนท์จะได้สบายตัวหลับลงอีกครั้ง (คงเหมือนเกาหลังให้ปลาอานนท์เนอะ) นางราตรีเคยถามยายปลาอานนท์ตัวโตแค่ไหนเวลาตื่นถึงพลิกโลกได้ ยายบอกว่าก็โตถึงขนาดแบกโลกไว้ได้ ที่แผ่นดินไหวแต่ละครั้งแค่ปลาอานนท์ขยับตัวนิดหน่อยเอง
เจ้าหนูจาไมอย่างนางราตรีไม่หยุดถามหรอก เอามือกำดินให้ปลาอานนท์หลับอีกครั้ง แล้วเกี่ยวไรกับข้าวเหนียวแปะบนกระหม่อม ฟ้าร้องฟ้าผ่าก็บอกฟ้าจะไม่ผ่า ปลาอานนท์จะตื่นก็ให้เอาข้าวเหนียวแปะหัว ยายบอกแผ่นดินจะได้ไม่ดูดเราเข้าไปใต้โลกเวลาแผ่นดินแยก เพราะพระแม่โพสพ กับ พระแม่ธรณี เป็นพี่น้องกัน อ่า เหตุผลของยายสุดยอด มีข้าวติดกระหม่อมถือเป็นลูกพระแม่โพสพ ธรณีจะได้ไม่ดูดกลืน ที่บ้านเรียก "แผ่นดินสะหรุบ" อ่ะนะ
นิทานปรัมปราที่มากับความเชื่อทางศาสนา ที่ยายเล่าให้ฟังก่อนนอน พอโตขึ้นมาเริ่มรู้จักศาสนาอื่นๆ ก็เห็นว่ามีนิทานคล้ายกันนี้ อย่างเรือโนอาของฝรั่งมังค่า ก้อมีความเชื่อเรื่องโลกจะวิบัติเหมือนกัน ทำให้เชื่อได้ว่านิทานเหล่านี้ไม่ได้มาจากความเชื่อทางศาสนาหรอก แต่เป็นภูมิความรู้ในด้านธรรมชาติของปราชญ์คนใดคนหนึ่งที่เราไม่รู้เป็นแน่ แล้วศาสนาต่างๆ ก็รับเข้าไปเป็นความเชื่อของตน แต่อิฉันไม่ชื่อว่านอสตราดามุสเป็นคนทำนายหรอกนะ เพราะนิทานปรัมปราที่มากันตั้งแต่โบราณ ที่มีตัวเอกชื่อปลาอานนท์เนี่ย มันคงไม่ใช่ฝรั่งเอามาบอกคนไทยหรือคนพุทธหรอก ถ้าเป็นฝรั่งเอามาพูดปลามันคงชื่อแบบฝรั่งไปละ หะหะ (คาดการณ์เอาล้วนๆ)
พอฤดูกาลแปรเปลี่ยนสิ่งที่ตามมาคือเกิดโรคระบาด (โรคห่าจะกินเมือง) คำทำนายนี้ไม่ใช่เรื่องคาดการณ์ไม่ได้ แต่คนสมัยก่อนมีประสบการณ์จากอะไรถึงได้นำมาเล่าให้ลูกหลานฟังได้ว่าหลังจากเกิดความเปลีย่นแปลงทางธรรมชาติแล้วถึงจะเกิดปรากฏการณ์โรคระบาด แสดงว่าเขาเคยมีประสบการณ์มาก่อนเขาถึงได้เล่าต่อๆ กันมา ฉนั้นแล้วเหตุการณ์ที่คาดคิดกันว่ามันจะเกิดไม่เกิดยังไงอีท่าไหนในยุคสมัยก่อน ในอนาคตเนี่ย มันคงเกิดวนเวียนกันไปมาหลายรอบแล้วแหละ มันถึงมีเรื่องเล่าแบบนี้สืบต่อกันมา
จากการที่แผ่นดินไหวครั้งนี้ เห็นนักธรณีวิทยาออกมาประกาศว่าแผ่นโลกเคลื่อนตัวไปอีกหลายฟุต แกนโลกเอียงไปอีกหลายเซนติเมตร นางราตรีไม่แปลกใจเลยที่มันจะเกิดปรากฏการณ์ฝนตกผิดฤดู หรือที่เรียกว่า ลานินญา ไม่ต้องรอให้นักวิทยาศาสตร์บ้านเราออกมายืนยันหรอก ใช้ตรรกะ ง่ายๆ แบบเด็กประถมที่เรียนเรื่องโลกหมุนรอบพระอาทิตย์และแกนโลกเอียง เอาแค่นี้นะคะ ลองไปจับลูกโลกบิดให้มุมและองศามันต่างออกจากเดิม ท่านก็จะเห็นว่าภูมิภาคต่างๆ ทวีปต่างๆ มันจะอยู่ผิดตำแหน่ง เมื่อเทียบกับดวงอาทิตย์ เพราะดวงอาทิตย์ไม่ได้เคลื่อนที่ สิ่งที่เคลื่อนที่หมุนรอบดวงอาทิตย์คือโลกของเรา ฉะนั้นเมื่อโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงแต่ดวงอาทิตย์ไม่เปลี่ยนตาม มันก็เป็นธรรมดาที่จะทำให้ฤดูกาลมันผิดเพี้ยนไป
วันก่อนนักวิทยาศาสตร์ไทยออกอากาศให้สัมภาษณ์ว่าไม่ทราบว่าทำไมถึงเกิดลานินญ่ายาวนาน ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงได้เกิดฝนผิดฤดู เออ คำพูดแบบเนี้ยะ ทำให้นางราตรีคิดได้ถึงระยะห่างทางยาวโฟกัส คนที่อยู่ใกล้อะไรมักมองรูปร่างไม่เห็นเด่นชัด คนที่อยู่ไกลเห็นรูปร่างเด่นชัดแต่ไม่เห็นรายละเอียด ก็เหมือนที่นักวิทยาศาสตร์ งง ว่าทำไมถึงมีฝนผิดฤดู แต่ถ้ามองแบบความรู้เด็กประถมแบบนางราตรีก็ตอบง่ายๆ เลย ก็แกนโลกมันขยับตัว แผ่นดินมันเคลื่อนตัว มันก็ทำให้ฤดูกาลเพี้ยนแหละคุ้ณ
ฮ่าๆๆๆ บ่นมาซะยาวถึงเวลาต้องไปตั้งกองผ้าป่า ศพด. แล้ว ขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ เอนทรี่นี้ไม่มีสาระมีแต่นิทานกับความรู้ระดับประถมศึกษาค่ะ
ปลาอานนท์ แห่งมหานทีสีทันดร




จันทรวารสุขสวัสดิ์-โสมนัสภิรมย์ปรีดิ์ ที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๒ ค่ะ
เก็บความมาจากสมุดบันทึกเก่า ที่กระดาษกินตัวเกือบจะหมดแล้ว
ขออภัย หากอ้างอิงที่มาไม่ได้ครบถ้วน...
เจตนา เพื่อหลานรักผู้ไม่สบาย ต้องนอนแซ่วแต่บนเตียงคนไข้
ได้เปิดอ่าน ยามเธอเหงา
เรื่องที่ ๑. ปลาอานนท์ แห่งมหานทีสีทันดร
ปลาอานนท์ ว่ากันว่าเป็นสัตว์ใหญ่
หนุนโลกอยู่... หากพลิกตัวที ก็จะเกิดแผ่นดินไหว แล้วปลาตัวใหญ่มีตั้ง ๗ ตัว
สงสัยแต่ว่า...ทำไมปลาอานนท์หนุนโลกอยู่แต่เพียงตัวเดียว
และปลาที่เหลือทั้ง ๖ ไปหนุนดาวดวงไหนหรือ..
แต่ละตัวยาว ๔,๐๐๐,๐๐๐ วา คูณด้วย ๒ เป็นเมตร ก็ยาว..
๘,๐๐๐,๐๐๐ เมตร
ปลาช่อนแม่ลาการ้องตัวใหญ่ๆ เนื้อนุ่มหนา
ที่ทอดทานเมื่อเช้านี้ยาวราว ๒๐ เซ็นต์
เรายังทึ่งกันว่า ช่างมีปลาตัวตัวใหญ่มาขาย...
ปลาใหญ่ทั้งเจ็ด มีชื่อเสียงนามกรว่า..
๑. ปลาติมิ
๒. ปลาติมิงคล (อ่านว่า ติ-มิง-คะ-ละ)
๓. ปลาติมิงปิงคล
๔. ปลาอานนท์
๕. ปลาติมินท์
๖. ปลาอัชฌาโรห
๗. ปลามหาติมิ
มหานทีสีทันดรอันกว้างใหญ่ไพศาล มีปลาใหญ่มหึมาอาศัยอยู่
แต่ละตัวยาวตั้ง แปดล้านเมตร...
เอกอรรคบรมมหานทีสีทันดรกว้างใหญ่เพียงใด สุดจะแจงนับ...
ความเปรียบมีว่า ใจ อันยิ่งใหญ่ นึกคิดได้สารพัดชั่ว-ดี
คิดได้เร็วปานสายฟ้าแลบ...ไปได้ไกลสุดคณานับ
ขอให้ใจ...คิดดีๆ ทำแต่สิ่งที่ดีๆ
คิดถึงสิ่งที่จะตามมาในวันข้างหน้าด้วยนะคะ
....
เริ่มด้วยฝั่งตะวันตก ออกเดินทางจาก Los Angeles ขึ้นเหนือทาง Highway 1 เลียบชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิคไปยัง San Francisco แวะริมทางไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ Big Sur ดูแมวน้ำที่ขึ้นมาอาบแดดบนหาด

ซานฟรานมีที่เที่ยวเยอะ ก็มี Palace of Fine Art, Lombard Street, Pier 39 ขาออกขับผ่านสะพาน Richmond Bridge เพื่อจะไปยัง Reno : Nevada เป็นสะพานเหล็กสองชั้น ชั้นบนขาเข้าจะเสียตังค์ ส่วนชั้นล่างขาออกจะฟรี

Reno เมืองหลวงของรัฐ Nevada จะมีชายแดนติดกับ California เป็นเมืองคาสิโนอีกแห่ง แต่จะเล็กและไม่ hit เท่ากับ Las Vegas พวกเราแวะเติมน้ำมันที่ปั๊ม วันนี้ขับยาวหน่อย โดยใช้เส้นทาง I-80 ข้ามเนวาดาทางเทือกเขา Rocky ด้านบนนี่ไม่มีอะไรเที่ยวเลย ทะเลทรายล้วนๆ น้ำมันต้องกะให้ดี แต่ละเมืองห่างกันมาก ไม่งั้นต้องนอนหนาวโดยมีงูหางกระดิ่งเป็นเพื่อนแน่ ข้ามไป Utah ถึง Salt Lake City เมืองหลวง ที่จะขาดไม่ได้เมื่อไปถึง Salt Lake ก็คือ Temple Square

ถ้าไปช่วง Spring ก็จะมีดอกไม้ประดับประดาดูสดใส แต่ถ้าไปช่วงหนาวละก้อ ใบไม้ร่วงโกร๋น กลายเป็นพญาไร้ใบไปหมด แต่วิวจะสวยเพราะว่าเขาสูงๆมีหิมะขาวคลุม เป็นแบคกราวน์ที่สุดยอด ต่อไปยัง Wyoming ยังคงใช้เส้น I-80 อยู่ ฝนตกตลอดทาง แต่ก็ดีว่าไม่มีที่เที่ยวน่าสนใจ

ได้เจอ Bison ฝูงใหญ่ที่ Wild Cave National Park เยอะมากคาดด้วยสายตาประมาณ 100 ตัวขึ้นไป มีป้ายบอกเตือนว่าห้ามเข้าใกล้ ก็เลยแอบไปยืนถ่ายรูปกันแบบกล้าๆกลัวๆ พร้อม เตรียมวิ่งขึ้นรถทันที เที่ยวหน้าหนาวจะมืดเร็วมาก 5 โมงเย็นนี่ก็มืดแล้ว แต่ถ้าเที่ยวหน้าร้อนนี่ได้กำไร 2 ทุ่มยังพึ่งจะเริ่มมืด

ต้องลดเวลาไปอีก 1 ชั่วโมง เพราะว่าที่อเมริกาจะแบ่งเวลาเป็น 4 โซน มี Pacific Time Mountain Time, Central Time, Eastern Time พวกเราก็งงๆกับเวลาต้องคอยหมุนนาฬิกาบ่อยๆ จากฝั่งตะวันตกมาตะวันออกออกจะขาดทุน เวลาจะเร็วกว่า เลยได้เที่ยวน้อยลงเพราะว่ามืดเร็วขึ้น บางวันข้ามโซนมา ถ้าเราอยู่ฝั่งwest จะโทรไปทางฝั่ง east ต้องเชคเวลาดีๆ โทรหาเพื่อนอาจจะโดนด่าเอาได้ ฝั่งเราเที่ยงคืนของเค้าตี 3

Mt. Rushmore : South Dakota อยากจะมาเห็นกับตาจริงๆ คิดว่าน่าจะไม่ค่อยมีทัวร์จัดมาเพราะว่ามันไกลมาก เลยต้องขับรถมากันเอง เมื่อมาถึงไม่ผิดหวัง น่าทึ่งมากๆ แกะรูปหน้า 4 ประธานาธิบดีจากหินภูเขา ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่เป็นผลงานของฝีมือมนุษย์ อากาศหนาวมาก ลมแรงทั้งๆที่แดดเปรี้ยง พูดมีควันออกจากปากเลย คาดว่าไม่น่าจะถึง 5 องศา จากนั้นก็ออกมาโดยเปลี่ยนมาใช้เส้น I-90 ผ่าน Crazy Horse เป็นอีกที่นึงที่แกะสลักรูปบนหน้าผาแต่เป็นรูปม้า ทำคล้ายๆ Mt.Rushmore

แวะ Badlands National Monument มีลักษณะเป็นภูเขาชั้นๆสีแดงอมส้ม เกิดจากการะเบิดของภูเขาไฟ ส่วนใหญ่ค่าเข้า National Park แต่ละแห่งจะเสียค่าเข้าเริ่มตั้งแต่ 10 เหรียญต่อรถ 1 คัน ไปจนถึง 25 เหรียญถ้าเราซื้อเหมารวม passport เข้าที่นึงก็ปั๊ม ใช้ได้หลายครั้ง จะคุ้มกว่าถ้าเที่ยวหลายที่ แต่ถ้าเป็นพวกคนสูงอายุ หรือคนพิการ ก็ฟรี

เปลี่ยนเวลา อีก 1 ชั่วโมง แวะค้างคืนที่ Sioux Falls โรงแรมดูคึกคักเต็มไปด้วยนักล่านก และหมา ซึ่งเค้าจะใช้หมาไปคาบนกเมื่อยิงได้แล้ว สอบถามได้ความว่าทุกปีช่วงนี้จะเป็นฤดูล่านกเป็ดน้ำ คนที่จะมาล่านกนั้น ต้องมีใบอนุญาติด้วยไม่ใช่ใครจะไปยิงก็ได้ Corn Palace เป็นเมืองที่ปลูกข้าวโพดกันมาก มีสิ่งแปลกอยู่อย่างนึงคือ Corn Palace อาคารทั้งหลังจะตกแต่งด้วยข้าวโพดทั้งหมด
จะเปลี่ยนรูปแบบไปทุกปีไม่มีซ้ำ ทำติดต่อกันมาหลายปีจนเป็นประเพณีแล้ว เข้าไปข้างในตัวอาคาร ซึ่งเป็นสนามบาสเกตบอลของเมือง ตกแต่งผนังเป็นรูปต่างๆด้วยข้าวโพด มาถึง St.Paul เมืองหลวงของMinnesota ช่วงบ่ายแก่ๆ แดดเปรี้ยงแต่ว่าอากาศยังคงหนาวมาก แวะโบสถ์ St.Paul และก็ State Capital ใบไม้เปลี่ยนสีมีอีกเพียบ เหลือง ส้ม รัฐนี้ไม่มี Tax
ยังคงใช้ I-90 เข้า Wisconsin
ทางฝั่ง east นี้ใบไม้เปลี่ยนสีจะมีให้เห็นตลอดทาง เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่คนทางฝั่ง west ไม่ค่อยเห็น จึงตื่นตาตื่นใจ ถึงจะเหนื่อยกับการเดินทางอย่างไรก็ไม่มีหลับ แวะถ่ายรูปกันตลอดทาง เข้าสู่ Illinois เริ่มจะต้องเสียค่าทางด่วนแล้ว ออกจะดูแปลกๆกับด่านเก็บตังค์ คือจะมีสองแบบ อันแรกก็มีคนเก็บเหมือนปกติ แต่ที่แปลกจากที่เคยเห็นคือจะมีถุงห้อยอยู่ข้างตู้เก็บเงิน ให้เราโยนเหรียญค่าผ่านทางลงไป จำนวนเงินต้องเตรียมให้พอดีด้วย เราถึงจะผ่านไปได้ เสียค่าผ่านทางมาเป็นระยะๆ กว่าจะถึง Chicago โดนไป 5 ด่านแล้วเนี่ย เข้าเมืองทีแรกก็กลัวๆเพราะว่าคนดำเต็มไปหมด ก็แค่พยายามอย่าหลงไปในที่เปลี่ยวๆ
ถึงนี่แล้วพลาดไม่ได้ต้องไป United Center เป็นแฟนพันธุ์แท้ของ Chicago Bulls และไมเคิล จอร์แดน ต้องไปชักภาพเป็นที่ระลึกซะหน่อย ต่อไปยัง Buckingham Fountain ลานน้ำพุใจกลางเมือง Chicago ด้านหลังมองเห็นตึกสูงย่านธุรกิจของเมือง อากาศยังหนาวมาก หาที่จอดรถไม่ยากนัก อีกด้านหนึ่งจะเป็นทะเลสาบสุพีเรีย
ทะเลสาบที่ใหญ่สุดของ The Great Lakes พอดีเป็นวัน Holloween จึงได้ไปที่ Navy Pier มีการจัดงานฮัลโลวีน ผีเดินกันเต็มไปหมด ส่วนใหญ่จะเป็นพวกเด็กๆ นอกจากนั้นยังมีการตกแต่งร้านต่างๆด้วยฟักทอง คล้ายๆกับงานวัดบ้านเรา

ต้องลดเวลาลง 1 ชั่วโมงอีกแล้ว คราวนี้ใช้เส้นทาง I-65 ลงมา Indiana เที่ยวสนามแข่งรถ INDY 500 ที่ Motor Speedway เค้าไม่ได้เปิดให้คนทั่วไปเข้าชมด้านใน เราก็เลยได้แค่เฉียดสนามแข่งด้านหน้า
เดินทางต่อไปยังอนุสาวรีย์กลางใจเมือง ซึ่งลักษณะและที่ตั้งก็คล้ายๆกับอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยของเรา คือเป็นวงเวียน แล้วก็ไป President Benjamin Harrison Home

ผ่านเข้าสู่รัฐ Ohio ตลอดทางที่รถวิ่งมาก็จะเห็นใบไม้เปลี่ยนสีละลานตาไปหมด เหลือง ส้ม แดง สารพัดพันธ์ของต้นเมเปิ้ล ดูแล้วมันสบายใจ สบายตาซะจริงๆ ถ้าจะมาเที่ยวฝั่ง east ดูใบไม้เปลี่ยนสีละก้อ ต้องมาช่วงตุลาคม รับรองว่าจะไม่ผิดหวังแน่ๆ

ข้าม West Verginia ไป Pennsylvania การเดินทางในช่วงนี้จากรัฐนึงไปรัฐนึงจะใช้เวลาไม่มาก เพราะว่ารัฐจะเล็ก และอยู่ติดๆกัน ไม่เหมือนทางฝั่ง west แต่ละรัฐต้องขับกันเป็นวันๆ ที่ Pittsburgh ได้แวะ Three Rivers Stadium

ไปจุดชมวิวของเมือง ที่สามารถมองเห็น 3 สะพาน เป็นจุดสูงสุดที่สามารถมองเห็นวิวของเมืองได้ทั้งหมด ขึ้นเหนือโดยใช้เส้น I-79 มุ่งหน้าสู่ Niagara Falls
ขับรถเลียบ The Great Lakes มาเรื่อยๆ ที่จอดรถกับทางไปน้ำตกไกลพอสมควร มองจากทางฝั่งนี้จะเห็นเพียงส่วนโค้งของน้ำตกเท่านั้น ละอองน้ำตกฟุ้งกระจายสูงจนมองเห็นได้ไกลเป็นเมตร ถ้าเป็นช่วงหน้าหนาว นักท่องเที่ยวจะเข้ามาไม่ได้เพราะว่าหิมะตก บริการให้นั่งเรือลอดใต้น้ำตกก็คงจะไม่สามารถทำได้ เพราะตัวน้ำตกกลายเป็นน้ำแข็งไปหมด วันนี้โชคดีมีหิมะตกลงมาปุยเล็กๆ พอให้ได้สัมผัส ได้เวลาข้ามประเทศเข้าสู่ Canada แล้ว ผ่านด่านเชคพาสปอร์ตและวีซ่าไม่มีปัญหา ว่ากันว่าน้ำตกไนอาการ่าฝั่งแคนาดาจะสวยกว่าฝั่งอเมริกา น่าจะจริง

มองจากทางฝั่งนี้ จะเห็นน้ำตกเป็นรูปครึ่งวงกลมทั้งหมด พลังน้ำตกแรงมาก ละอองกระเซ็นกลายเป็นหมอกคลุมไปทั่ว อากาศ 2 องศาเซลเซียสเท่านั้น ต่อไปยัง Toronto มีหอสูงคล้าย Space Needle ที่ Seattle เพื่อนแนะนำร้าน King Noodle ก็หาเจอได้ไม่ยาก โซ้ยบะหมี่กันเต็มที่หลังจากกินอาหารขยะมาหลายมื้อแล้ว คนจีนเยอะเหมือน พาหุรัด เยาวราช ส่วนใหญ่จะอพยพมาจากฮ่องกง เช้าตื่นมาเห็นรถมีเกร็ดน้ำแข็งเกาะเต็มไปหมด พื้นเหยียบลงไปเสียงดังกรอบแกรบ ต้องหากาแฟร้อนๆกินแก้หนาว แวะ Sky Dome สัญญลักษณ์ของ Toronto

เดินข้ามถนนไปอีกไม่ไกลนัก จะมี Hocky Hall of Fame ซึ่งเป็นที่เก็บรวบรวมประวัติต่างๆเกี่ยวกับ hocky รวมถึงบรรดานักฮอกกี้ที่มีชื่อเสียงของเมืองด้วย ด้วยเพราะว่าเป็นเมืองหนาว กีฬาประเภทนี้จึงเป็นที่นิยมแพร่หลาย

เลือกเส้นทาง 401 east ไป Ottawa เมืองหลวงของ Canada ไม่ค่อยดังเหมือนเมืองอื่น เช่น Toronto หรือ Montreal มีที่น่าสนใจก็คือ Parliament Building ที่ทำการรัฐบาล เป็นตึกทรงยุโรปอายุเก่าแก่

ทำเลสวยด้านหลังจะเป็นแม่น้ำ Ottawa River มีหอนาฬิกา และอาคาร 100 กว่าปีตั้งอยู่บนเนินเด่นเป็นสง่า ตัดกับผืนหญ้าสีเขียวสด อากาศเย็นสบายแค่ 6 องศา นั่งรถรางเล็กชมทั่วบริเวณ เดินไม่ไหวเพราะว่ากว้างมาก เมืองถัดไปคือ Montreal เคยเป็นสถานที่จัดโอลิมปิคหลายปีก่อน แวะ Biodome กำลังซ่อมแซม

ตกลงกันว่ารีบไป Quebec จะได้ใช้เวลาที่นั่นเยอะๆ ใช้เส้นทาง I-40 แวะ Citadelle ปราสาทใหญ่ติดกับแม่น้ำ St.Laurant แล้วก็ Notre Dame Du Quebec Roman Catholic ไปไหนไม่ได้เริ่มมืดแล้ว ชอปปิ้งดีกว่า หาที่ชอปใกล้ๆกับโรงแรม ห้างชื่อ Eaton ใหญ่ที่สุดของเมือง เดินจนห้างปิด

ไปน้ำตกMontmorency อยู่ริมข้างทาง มองเห็นจากถนน แต่พวกเราเดินเข้าไปข้างใน ยังเช้ามากเลยไม่มีนักท่องเที่ยวเท่าไร อากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆน่าจะอยู่ที่ 0 องศา มองได้จากป้ายที่ติดไว้ โบกมือลา Canada

จะเข้า USA ที่รัฐ Maine คาดว่าหิมะพึ่งจะหมดไป ยังพอมีเห็นเป็นก้อนๆ อยู่ที่ลานจอดรถ
ก่อนออกขอแวะชอปปิ้งส่งท้ายที่ Duty Free กำลังจะเข้าเขต USA หิมะลงมาปรอยๆอีกครั้งเยอะพอสมควร ลงจากรถไปเล่นหิมะกัน ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองที่ Maine เป็นด่านเล็กๆ เจ้าหน้าที่ไม่เคร่งครัดนัก แค่ถามว่าไปไหนกันมา ดูพาสปอร์ตแบบลวกๆ (แต่ตอนนี้คงไม่มีอีกแล้วหลังจาก 9/11)เข้าสู่ US ด้วยเส้นทาง 201 south แวะเมือง Bangor มาถึง Maine ตั้งใจจะไป French Man Bay สถานที่ดูปลาวาฬ โชคไม่ดีที่ยังไม่ถึงฤดูปลาวาฬจะมา ก็เลยเปลี่ยนแผนไป Sand Beach สุดยอดของ North East มองเห็นชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติคเต็มไปด้วยเกาะใหญ่เกาะน้อยได้สุดลูกหูลูกตา ล่องใต้ลงมาที่ Portland ด้วยเส้นทาง I-95 South ถึง Maine แล้วนี่ ต้องกินกุ้ง Lobster
วนหาร้านขายกุ้งสดๆเค้าก็จะทำให้เราด้วย เจอร้านเดียวที่ยังเปิดขาย เค้าก็ต้มให้ น้ำจิ้มอะไรก็ไม่มี ตระเวณหาร้านอาหารไทย โชคดีมากเลย ไปขอซื้อข้าว-กับข้าว แล้วก็มะนาว-น้ำปลา คุยกับเจ้าของร้านได้ความว่า ธุรกิจที่นั่นถ้าหน้าหนาวจริงๆ จะหยุดกันยาว 3 เดือน กะว่าจะหาที่วิวสวยๆ ริมชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติค นั่งละเลียดกินกุ้ง lobster เจอประภาคารแห่งหนึ่ง มี park เล็กๆ พอลงจากรถ หนาวมาก แต่ขนของลงไปนั่งทีโต๊ะปิคนิคแล้ว ยังไงก็ต้องทน บรรยากาศเริ่ดมากแต่ว่าหนาวสุดๆ นั่งแกะกุ้งนี่มือแข็งจนง้างแทบไม่ออก ขนาดว่าแดดเปรี้ยงๆนะ

เดินทางสู Boston
เช้าตื่นขึ้นมาน้ำแข็งเกาะรถเต็มเลย ต้องมาช่วยกันขูดออก มองไม่เห็นทางกระจกหน้าฝ้าไปหมด ผู้คนแต่งตัวดูแปลกไปจากที่เราคุ้นเคย ใส่เสื้อคลุมยาวๆ แบบยุโรป แวะเข้าไปที่ Haward University จอดรถไว้ข้างนอก แล้วเดินเข้าไปในมหาลัย บรรยากาศดูร่มรื่น มีสะพานโค้งด้านหลังเป็นหอนาฬิกาสีแดง ที่คลองนี้จะเอาไว้แข่งเรือซึ่งเป็นประเพณีเก่าแก่ของยูนี้ นักศึกษาเดินกันขวักไขว่ หน้าตายุ่งๆ ท่าทางจะเรียนหนัก

จาก West สู่ East

และแล้วก็มาถึง New York ขับรถยากพอสมควร แตกต่างจากที่อื่นๆที่ผ่านมา เหมือนที่เราเห็นในหนังยังไงยังงั้น คนเดินข้ามถนนแบบไม่แคร์ รถก็บีบแตรไล่ วุ่นวายกันไปหมด ผู้คนดูเคร่งเครียด รีบเร่ง ที่พักจะค่อนข้างแพง ตกลงว่าจะเข้าไปนอนใน New Jersey รัฐติดกันเป็นเมืองแฝด เช้าๆค่อยขับรถเข้ามาขับมาทาง Staton Island เป็นทางเชื่อมระหว่าง New Jersey –New York เสียค่าผ่านทาง 7 เหรียญ สำหรับคนที่ข้ามไปข้ามมา สังเกตว่าคนที่ทำธุรกิจในรัฐนี้จะเป็นพวกแขกทั้งนั้น ทั้งปั๊มน้ำมันและโรงแรม เช้าข้ามกลับมาฝั่ง New York รีบแจ้นไปทีท่าเรือกลัวว่าจะไม่ทัน

เรือที่ไป Statue of Liberty จะออกเป็นเวลา เรามีเวลาน้อย ถ้าพลาดเรือก็จะเสียเวลาไปที่อื่นๆไปด้วย เพราะฉะนั้นจะต้องทำเวลาให้ได้ ทันเรือเที่ยวแรกพอดี เป็นเรือท่องเที่ยวขนาดใหญ่จุคนได้เป็นร้อยๆ พอเรือออกจากท่า ก็รีบเดินไปที่กราบเรือเพื่อถ่ายรูปกับ downtown เมือง New York ทางด้านหลัง
ยังคงเห็นตึก World Trade ตระหง่านคู่กัน (นับแต่นี้ไม่มีอีกแล้ว)นอกนั้นก็เป็นตึกสูงๆเต็มไปหมด อากาศไม่ดีเท่าไร ฝนตกปรอยๆ ไม่มีแดดเลย นั่งเรือออกไป 45 นาที ตัวที่ตั้งเทพีเสรีภาพอยู่กลางเกาะในแม่น้ำ Hudson ค่าข้ามเรือก็คนละ 7 เหรียญ ในเรือมีของขายพวกแซนวิช กาแฟ แล้วก็ของที่ระลึก เมื่อเรือจอดเทียบท่าต้องดูเวลาเรือจะออกให้ดี ไม่งั้นจะตกเรือเอาได้

เดินดูรอบๆ ด้านใน จะเป็นพิพิธภัณฑ์มีรายละเอียดบอกประวัติความเป็นมา และการก่อสร้างของเทพีแห่งนี้ ได้เวลาเรือจะออกก็รีบมารอที่ท่าเทียบ เรือจะต้องแวะอีกเกาะนึงเพื่อรับนักท่องเที่ยว เจอนักเรียนกลุ่มใหญ่ เสียเวลามากกว่าปกติ นั่งลุ้นระทึกว่าเรือจะทันกับค่าจอดที่เราหยอดไว้หรือเปล่า พอเรือถึงท่าโกยแนบวิ่งไปที่รถ พระเจ้ายังปราณี เจอเจ้าหน้าที่กำลังให้ตั๋วคันก่อนหน้าเราแค่ 2 คัน

ไปต่อที่ museum หาที่จอดรถใกล้ๆ แต่พวกเราไม่ค่อยสนใจเท่าไร ใช้เวลาเดินไม่นาน อยากไปสัมผัสตลาดหุ้น Wall Street มากกว่า นึกภาพไม่ออกว่ามันเป็นยังไง

พอเห็นจริงๆก็คือถนนชื่อ Wall Street ซึ่งเป็นที่ตั้งของตลาดหุ้นดาวโจนส์ NYSE หรือ New York Stock Exchange มีรูปปั้นกระทิงเปลี่ยวสีบรอนซ์เด่นเป็นสง่า
นักเลงหุ้นถือว่ากระทิงเป็นสัญญลักษณ์ของหุ้นที่ภาวะตลาดขาขึ้น การจะเข้าไปดูข้างใน ต้องไปขอบัตรจากเจ้าหน้าที่ ซึ่งจะเปิดให้นักท่องเที่ยวหรือคนที่อยากชมการซื้อ-ขายหุ้น ที่ยังคงเอกลักษณ์แบบโบราณเข้าไปได้ แต่จะแค่ดูจากกระจกทางด้านนอกซึ่งเค้าเตรียมสถานที่ไว้เท่านั้น ไม่สามารถเข้าไปจนถึงห้องเทรดได้ อีกห้องนึงก็จะขายของที่ระลึกสารพัดทั้งแก้ว-เสื้อ-หมวก ดูดเงินจากเราอีก ลาแล้ว... New York…

แวะชอปปิ้งที่ New Jersey ก่อน รัฐนี้ไม่มี tax คนจากฝั่งนิวยอร์คมักจะมาหาซื้อข้าวของกันที่นี่เพราะว่าไม่ต้องเสีย tax
เที่ยวหน้าหนาวจะพะรุงพะรังกับเสื้อผ้ากันหนาวมาก จุดหมายต่อไปคือ Washington D.C. ยังคงใช้เส้น I-95 ไปถึงดีซีขับรถวนหาทางเข้าทำเนียบขาวไม่เจอ หลงเข้าไปใน First Street ตกใจมาก มีแต่คนดำทั้งนั้น นี่ขนาดว่าชินกับ homeless ที Fifth Street ในL.A.มาแล้ว ยังลนลานหาทางกลับรถแทบไม่ทัน
แว่บเข้าไปดู White House มารอบนึง ฟ้ามืดเร็วมาก แค่ 4 โมงเย็นพระอาทิตย์ตกแล้ว เข้าไปเที่ยวใน White House ทำเนียบประธานาธิบดี Washington Monument แท่งสูงๆยาวๆที่เห็นในหนังบ่อยๆ (เจอซ่อมแซมอีก แท่นเหล็กระโยงระยางไปหมด) ใกล้ๆกันเป็นสระน้ำที่ด้านหลังเป็นอนุสาวรีย์อับราฮัม ลิงคอนน์ ขับไปอีกก็จะเป็น park เล็กๆมีสะพานข้ามแม่น้ำ Potomac แล้วก็มีโดมของ Jefferson
ล่องใต้ ด้วยเส้นเดิม I-95 เพื่อจะไป ที่ Columbia- South Carolina เช้ากิน breakfast กันที่ร้าน IHOP

มา Atlanta ฝนตกพรำๆตลอดทาง งานชักกร่อยเพราะว่าลงรถเที่ยวแทบจะไม่ได้ ที่นี่เป็นที่ตั้งของบริษัทแม่ Coca-Cola มีคนยืนรอคิวยาวเหยียดเพื่อจะเข้าชม

ออกไป Georgia Dome สถานที่แข่งขันโอลิมปิค ยุคที่สมรักษ์ คำสิงห์ได้เหรียญเงิน ฝนตกมากขึ้นเรื่อยๆ เซ็งมาก จะมัวรอฝนหยุดซึ่งก็ยังไม่เห็นวี่แวว น่าจะเป็นพายุเข้าแน่ๆ คราวนี้ย้อนกลับมาทาง West ต้องเปลี่ยนเวลาจาก Pacific time เป็น Central Time แต่ครั้งนี้ได้กำไร 1 ชั่วโมง แทนที่จะเป็น 4 โมงก็กลายเป็น 3 โมง มีเวลาเที่ยวเพิ่มขึ้นอีก อยากจะแวะ Chattanooga แต่ฝนตกหนักแบบนี้คงไม่ไหว

มุ่งหน้าสู่ Memphis ด้วยเส้น I-40 แวะเยี่ยมบ้าน Elvis Presley ทีGraceland อีกครั้ง เข้าไปชมในตัวบ้านเสียค่าเช้า 10 เหรียญ ต้องนั่งรถของ Graceland ข้ามถนนเข้าไปยังบ้านที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับร้านขายของที่ระลึก

หน้ารั้วบ้านเป็นอิฐ บรรดาแฟนๆเพลงได้ไปสลักลายชื่อไว้บนกำแพงรั้วบ้านแทบทุกตารางนิ้วจนไม่มีที่ว่าง แวะdowntown ของ Memphis ไปเดินถนน Elvis หัวถนนจะเป็นสวนเล็กๆมีรูปปั้นเอลวิสยืนถือกีตาร์ส่ายสะโพกอยู่ ถนนทั้งสายจะเป็นร้านขายของ ร้านอาหาร และร้านของที่ระลึก พร้อมใจกันตกแต่งด้วยสไตล์ Elvis จะได้ยินเสียงเพลงของเอลวิสแว่วมาตลอดเวลา

ต่อไปยัง Piramid พิพิธภัณฑ์ โชคไม่ดีอีกไม่เปิดวันอาทิตย์ เลยอดเข้าไปชมด้านใน ขับรถผ่านแม่น้ำ Mississippi ที่เมือง Little Rock
ไป Dallas ระหว่างทางหมอกลงจัดมาก ขับได้ไม่เร็วเท่าไร ช่วงนี้ถือว่าขับยาวพอสมควร ถึงดึกแล้ว

เที่ยวที่สนาม Baseball ชื่อ Texas Ranger ของเมือง Arlington เคยเป็นของจอร์จ บุช แต่ขายไปแล้ว

ต่อไปยัง San Antonio เมืองท่องเที่ยวที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของ Texas
เข้าไปใน The Alamo สักพัก ออกมาเดินเที่ยวที่ River Walk แหล่งชอปปิ้ง เป็นอาคารที่มีแม่น้ำอยู่ตรงกลาง มีเรือให้นั่งชมบรรยากาศรอบๆ ค่าตั๋ว 5 เหรียญ ใกล้ๆจะมี สนามบาส The Alamo Dome ของทีม San Antonio Spurs

Lone Star State คราวนี้ยาวมาถึงชายแดน El Paso ด้วยเส้น I-10 เคยมีคนกล่าวว่า Sunrise and sunset in Texas ก็คือมันใหญ่มาก ขับรถตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นยันพระอาทิตย์ตกก็ยังไม่พ้น

วันนี้อากาศดีมาก แดดสดใส ต้องไป White Sands National Monument ที่ New Mexico ข้ามเขตและเปลี่ยนเวลาเป็น Mountain Time ได้กำไรมาอีก 1 ชั่วโมง คราวนี้อยู่นานจนพระอาทิตย์ตก ต้องรอพระอาทิตย์ลับฟ้าก่อนจะเห็นภูเขาทรายขาวมีแสง เงา ทำให้เห็นมองแปลกตาไป สวยกว่ามาช่วงแดดเปรี้ยง แสบตามากเพราะว่าขาวโพลนเหมือนมองหิมะ ร้อนด้วยเพราะไม่มีต้นไม้ใหญ่ให้หลบร่มแม้แต่ต้นเดียว แต่ช่วงหน้าหนาวก็หนาวขาดใจ

อีกวันอากาศกลับเย็นขึ้นอีก ใช้เส้นทาง I-25 Albuquerque
มุ่งหน้าสู่ Bandelier National Monument เจอหิมะตกเล็กน้อย เป็นภูเขาที่หินเป็นรูๆตรงหน้าผา ถ้าใหญ่หน่อยก็จะเป็นที่พักของคนอินเดียนสมัยโบราณ มีบันไดให้เราปีนขึ้นไปดูด้านในด้วย ไปอีกที่นึงคือ Chaco Culture National Historic Park หมู่บ้านอินเดียนเหมือนกัน อันนี้ไม่ค่อยประทับใจเท่าไร หนาวเหน็บจนน้ำแข็งเกาะกระจกรถ ต้องขูดกันอีกแล้ว น่าจะต่ำกว่า 0 องศาแน่ๆ เแวะ Aztec Ruins National Monument ดูซากเมืองเก่าๆที่ถูกทำลายไปหมดแล้ว ยังมีที่น่าสนใจกำลังรอพวกเราอยู่ คือ Durango : Colorado

ต่อไปยัง Mesa Vadre National Park ต้องขับรถขึ้นสูงไปยอดเขา เคยเป็นอดีตที่อยู่อาศัยของพวกอินเดียน หน้าผามีโพรง เป็นหมู่บ้านมีประมาณ 600-800 ครอบครัว ด้านหลังเป็น Square Tower House กลุ่มที่ใหญ่ที่สุดน่าจะเป็น Cliff House เสียดายไม่ได้เข้าไปใกล้ๆ เพียงแค่ดูจากฝั่งตรงข้ามเท่านั้น เพราะต้องเดินไต่เขาลงไป อีกแห่งที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก Four Corners จุดชายแดนของ 4 รัฐ คือ Colorado , New Mexico, Utah, Arizona มาตัดกัน ถ้ายืนตรงนี้เหมือนได้ไปเที่ยวมาแล้ว 4 รัฐ

อากาศ 6 องศา แต่ไม่มีน้ำแข็งเกาะหน้ากระจกรถ ฝ่าความหนาวลงรถไปแอคท่าบนจุดบรรจบ 4 รัฐ มีธงชาติของแต่ละรัฐอยู่บนเสา ส่วนตรงพื้นก็เป็นชื่อรัฐทั้ง 4 มาชนกันอยู่บนแท่น หนาวจริงๆ ใครถ่ายรูปแล้วต้องรีบวิ่งเข้าไปหลบหนาวในรถทันที เปิดฮีตเตอร์อุ่นๆรอไว้ ไม่ไหวเลย

จาก West สู่ East
ต่อไป Grand Canyon เสียค่าเข้าอีก 20 เหรียญ คราวที่แล้วมาช่วงใกล้เที่ยง แดดแรงมาก ถ่ายรูปไม่สวยเพราะว่าแสงมันจ้า มาครั้งนี้จะไม่รีบ รออยู่จนพระอาทิตย์ตก แสงอาทิตย์เริ่มจางลง สีของหน้าผาสวยขึ้นเรื่อยๆ
เดินไปดูของที่ระลึกตรงหอคอยหินสูงๆ เสียค่าขึ้นไปดูวิวคนละ 25 เซนต์ พระอาทิตย์ตกแล้วก็ออกมาเที่ยวที่ point อื่นๆ อยู่ในนั้นประมาณ 4 ชั่วโมงกว่า กำลังถ่ายรูปมีทัวร์ไทยมาลง นั่งรถมาตั้งไกล ใช้เวลาชะโงก 20 นาที หาที่พักได้ที่ Kingman
เพราะว่าพรุ่งนี้เช้าจะไป Las Vegas แวะ Hoover Dam เขื่อนดินที่ใหญ่ที่สุดในโลก (ต้นแบบของเขื่อนภูมิพลของเรา) ตรงสันเขื่อนจะเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างรัฐ Nevada และ Arizona มีนาฬิกายักษ์บอกเวลาของทั้งสองรัฐอยู่คู่กัน เปลี่ยนเวลาลดลงอีก 1 ชั่วโมงเขื่อนอยู่ห่างจากตัวเมือง Las Vegas ประมาณ 45 นาที เบื่อๆควันบุหรี่ในบ่อน ออกมาหาอากาศบริสุทธิ์ที่นี่ได้ น่าทึ่งที่สามารถทำให้รัฐ Nevada ซึ่งเป็นเมืองทะเลทรายมีน้ำใช้ตลอดทั้งปี ไหนจะไฟฟ้าอีก Vegas ทั้งเมืองใช้ไฟทั้งวันทั้งคืน ก็ใช้พลังน้ำจากเขื่อนนี้ด้วยเหมือนกัน

แวะโรงงานชอคโกแลต ชื่อ Ethel M. Chocolates เข้าไปดูวิธีการทำชอคโกแลตแบบโบราณ และชิมฟรี แถมมีสวนตะบองเพชรให้ชม มีหลายสายพันธ์ ช่วงคริสตมาสจะประดับไฟที่ต้นตะบองเพชรด้วย Las Vegas เมืองที่ไม่เคยหลับไหล กลางวันไม่น่าเที่ยว แต่ถ้าเป็นกลางคืนแสงสี พราวพราย เคยมา count down เมื่อปี 2000 เดินกันขาลากตลอดถนน Strip เดินถ่ายรูป ดูความสวยงามแต่ละโรงแรมไปเรื่อยๆ ถ้าจะให้หมดทุกที่ต้องใช้เวลาสัก 2-3 วัน
พวกเราก็เลือกเอาโรงแรมใหม่ๆ Mandalay Bay สีทองอร่าม ซึ่งกลายเป็นที่จัดมวยโลกแทน MGM แล้ว นอกนั้นก็ไป Luxor เคยมีคนพูดว่าเลเซอร์ที่ยอดปิรามิด สามารถมองเห็นจากบนเครื่องบินเลย นอกนั้นก็มี New York New York , Excalibur ดูน้ำพุดนตรีที่หน้าโรงแรม Ballagio เดินเข้าไปดูในร้าน Coca-Cola เป็นคล้ายๆพิพิธภัณฑ์ เสียค่าเข้าคนละ 2 เหรียญ มีการสาธิตวิธีการผลิต Coke ให้ดู

และยังมีประวัติความเป็นมาของน้ำอัดลมตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม ได้ชิมน้ำอัดลมจากทั่วโลกรวม 30 ชนิด มีน้ำลิ้นจี่ของไทยเราด้วย เป็นที่น่าดีใจที่ผลิตผลของไทยมาไกลถึง LasVegas อีกมุมหนึ่งจะมีน้ำพุ coke พุ่งมาใส่แก้ว ให้เราเอาแก้วไปรอรับ ชิมสารพัดน้ำจนพุงกาง ได้เวลากลับบ้านแล้ว 1 เดือนเต็ม กับการเดินทางจาก West สู่ East ได้พบเห็นสิ่งต่างๆแปลกหูแปลกตามากมาย เป็นประสบการณ์ที่คงจะลืมไม่ลง ......


ปลาอานนท์

http://www.dmc.tv/forum/index.php?act=attach&type=post&id=9902รูปแนบ
มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกหลายตอนเหมือนกันครับเช่น ค้นหาจากพระไตรปิฎก ออนไลน์ ของ DMC
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม 1 ภาค 1
446 ปปัญจสูทนี อรรถกถามัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์เล่มที่ 17 หน้า 446
… จริงอยู่ คนคุยโตย่อมเป็นเหมือนปลาอานนท์. เล่ากันว่า ปลาอานนท์ (ชอบ) เอาหางอวดปลา (พวกอื่นและ) เอาศีรษะอวดงู ให้ (ปลาและงูเหล่านั้น) รู้ว่าเราเป็นเช่นกับพวกท่าน. บุคคลผู้คุยโต ก็เช่นนั้นเหมือนกัน เข้าไปหานักพระสูตร หรือนัก พระอภิธรรมใด ๆ ย่อมกล่าวกะท่านนั้น ๆ อย่างนี้ว่า ผมประพฤติประโยชน์เพื่อ ท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายต้องอนุเคราะห์ผม ผมจะไม่ทิ้งพวกท่านหรอก ดังนี้. เมื่อเป็นอย่างนี้แลนักพระสูตรและนักอภิธรรมเหล่านั้นก็จักสำคัญ (เธอ) ว่า ผู้นี้มีความเคารพยำเกรงในเราทั้งหลาย ความโอ้อวดนี้แล
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม 2
276 สารัตถปกาสินี อรรถกถาสังยุตตนิกาย นิทานวรรคเล่มที่ 26 หน้า 276
…. ก็ในมหาสมุทร ปลาใหญ่ชื่อ ติมิ ยาว ๒๐๐ โยชน์ ปลาติมิงคละ ยาว ๓๐๐ โยชน์ ปลาติเมรปิงคละ ยาว ๕๐๐ โยชน์. ปลา ๔ อย่าง เหล่านี้ คือ ปลาอานนท์ ปลาปนันทะ ปลาอัชโฌหาระ ปลามหาติมิ ยาวตั้งพันโยชน์. ในปลาทั้ง ๔ อย่างนั้น ท่านแสดงด้วยปลาติเมรปิงคละ นั่นเอง. เมื่อมันกระดิกหูขวา น้ำในพื้นที่ตั้ง ๕๐๐ โยชน์ ก็จะเคลื่อนไหว หูซ้าย หาง หัว ก็เหมือนกัน. แต่เมื่อมันกระดิกหูทั้ง ๒ ฟาดหางเอียงหัว ไปมาเริ่มจะเล่นน้ำที่คนเอาใส่ภาชนะ น้ำในที่ ๗-๘ ร้อยโยชน์ก็กระเพื่อม เหมือนยกขึ้นตั้งบนเตา น้ำในพื้นที่ประมาณ ๓๐๐ โยชน์ก็ไม่อาจจะท่วม หลัง (ของมัน). มันพึงกล่าวอย่างนี้ว่า “ชนทั้งหลายกล่าวว่า มหาสมุทร นี้ลึก ความลึกของมหาสมุทรนั้นอยู่ที่ไหน. พวกเราไม่ได้น้ำแม้เพียงที่จะ ท่วมหลังของพวกเราได้” ในข้อนั้น พึงกล่าวว่า “มหาสมุทรตื้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม 4 ภาค 1
648 ชาตกัฏฐกถา อรรถกถาขุททกนิกาย ชาดกเล่มที่ 62 หน้า 648
ใน อดีตกาล มหาสมุทรแห่งหนึ่งมีปลาใหญ่อยู่ ๖ ตัว ชื่ออานนท์ ตัวหนึ่ง ชื่ออุปนันทะตัวหนึ่ง ชื่ออัชโฌหารตัวหนึ่ง ปลาใหญ่ทั้ง ๓ ตัวนี้ ยาวถึง ๕๐๐ โยชน์ ชื่อติมังคละตัวหนึ่ง ชื่อติมิรมิงคละตัวหนึ่ง ชื่อมหาติมิรมิงคละ ตัวหนึ่ง ปลาใหญ่ ๓ ตัวนี้ยาว ๑,๐๐๐ โยชน์ ปลาใหญ่ทั้ง ๖ ตัวนั้น ปลาอานนท์ อยู่ในส่วนข้างหนึ่งแห่งมหาสมุทร ฝูงปลาเป็นอันมากพากันเข้าไปหา ปลาอานนท์นั้น. วันหนึ่ง ปลาเหล่านั้นคิดกันว่า พระราชาของสัตว์สองเท้า และสัตว์สี่เท้าทั้งหมด ย่อมปรากฏ แต่พระราชาของพวกเรายังไม่มี พวกเรา จักกระทำปลาตัวหนึ่งให้เป็นพระราชา ปลาทั้งหมดได้รวมกันเป็นเอกฉันท์ ยกปลาอานนท์ขึ้นเป็นพระราชา จำเดิมแต่นั้นมา ปลาเหล่านั้นก็ไปบำรุงปลาอานนท์ นั้นทุกเวลาเย็นและเวลาเช้า. อยู่มาวันหนึ่ง ปลาอานนท์กินหินและ สาหร่ายอยู่ ณ ภูเขาแห่ง หนึ่ง กินปลาตัวหนึ่งโดยไม่รู้สึกว่าเป็นปลา สำคัญว่าเป็นสาหร่าย เนื้อปลา นั้นแผ่ไปทั่วสรีระของมัน มันคิดว่า นี้อะไรหนอช่างอร่อยเหลือเกิน จึงคายออกมาดูเห็นเป็นชิ้นปลา คิดว่า เราไม่รู้จักกินมานาน ถึงเพียงนี้ จำเดิมแต่นั้นก็คิดต่อไปว่า พวกปลามาสู่ที่บำรุงของเราทั้งเวลาเช้าและเวลา เย็น เวลากลับไป เราจะกินมันตัวหนึ่งหรือสองตัว แต่เมื่อจะกินมันโดย เปิดเผย ปลาแม้ตัวหนึ่งก็จักไม่เข้าใกล้เรา จักพากันหนีไปเสียหมด เราจัก ต้องทำอย่างแนบเนียน เราจักจับตัวที่โค้งคำนับเราหลังที่สุดกิน ดังนี้แล้ว ได้กระทำตามที่ตนดำริไว้ทุกประการ ปลาเหล่านั้นถึงความสิ้นไปโดยลำดับ จึงคิดกันว่า ภัยเกิดขึ้นแก่พวกญาติของเราจากที่ไหนหนอ ลำดับนั้น ปลาฉลาด ตัวหนึ่งคิดว่า กิริยาของปลาอานนท์ไม่ชอบใจเราเลย เราจักคอยจับกิริยา ของเขา เมื่อฝูงปลาไปสู่ที่บำรุงแล้ว ได้แฝงตัวอยู่ในหูของปลาอานนท์…
เพราะ ฉะนั้น เมื่อพระไตรปิฎกมีกล่าวไว้ ก็ต้องตั้งสมมุติฐานว่า มีไว้ก่อน แล้วพิสูจน์ด้วยผลการทดลองครับ คือ ปฏิบัติธรรม จนหยั่งรู้ เกิดตาทิพย์ มองไปก็เห็นเองแหละครับ ว่าเป็นอย่างไร

ไม่มีความคิดเห็น: