นาฬิกา

เซี่ยมซีหลวงพ่อพระชีว์

สรุปตลาดหุ้น

ตารางฟุตบอล

สร้างรายได้เพียงง่ายๆ

Subscribe in a reader Google AdSense คือบริการจาก Google ที่ให้ผู้ที่มีเว็บไซต์ สามารถหารายได้โดยการนำ Code ที่ได้จากการสมัครเป็นสมาชิกของ Google มาใส่ไว้ที่เว็บไซต์ของตนเอง ซึ่ง Code นั้นจะเป็น โฆษณาที่ส่งมาจาก Google โดยโฆษณานั้น ๆ จะเป็นโฆษณาที่มีเนื้อหาสอดคล้องกับเนื้อหาของเว็บไซต์ของคุณ ตัวอย่างเช่นถ้าเว็บไซต์ของคุณเป็นเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว โฆษณาที่ส่งมาจาก Google ก็อาจเป็นเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับ โรงแรม,สายการบิน เป็นต้น

ข้อความ

ข้อความ

วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2554

พระพุทธศาสนากับธรรมชาตินิยม

พระพุทธศาสนากับธรรมชาตินิยม

๑.พระพุทธศาสนา คือ อะไร?
   พระพุทธศาสนาในที่นี้ หมายถึง พระธรรมในพระรัตนตรัยนั่นเอง พระธรรม ได้แก่ ประมวลคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมด ที่จารึกไว้ในพระไตรปิฎก สาระสำคัญของพระธรรมก็รวมอยู่ในอริยสัจ ๔ นั่นเอง จะเรียกว่า อริยสัจ ๔ เป็นโครงสร้างที่สมบูรณ์ของพระธรรมก็ได้ จะเรียกว่าเป็นแกนกลางของพระพุทธศาสนาก็ได้ ถ้าว่าไปแล้ว พระธรรมทั้งหมดในพระไตรปิฎก ๔๕ เล่มนั้น เป็นเพียงรายละเอียดปลีกย่อยของอริยสัจ ๔ เท่านั้น
   พระธรรมอาจจะแยกออกไปได้อีกเป็น ๒ คือ โลกียธรรม กับโลกุตรธรรม ในอริยสัจ ๔ นั้น ทุกข์กับสมุทัยเป็นโลกียธรรมชั้นต่ำ มรรคมีองค์ ๘ เป็นโลกียธรรมชั้นสูง นิโรธเป็นโลกุตรธรรม
๒.ธรรมชาตินิยม คือ อะไร?
   ธรรมชาตินิยม (Naturalism) คือ ทัศนะที่เห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในเอกภพ มีอยู่เองโดยตัวของมันเอง ไม่มีผู้ใดสร้างมันขึ้นมา และกลับกลายหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปตามกฎเกณฑ์ของมันเอง ไม่มีผู้ใดบังคับบัญชา
ยกตัวอย่างเช่น
น้ำทะเล เมื่อถูกความร้อนจากแสงแดดแผดเผา จะระเหยกลายเป็นไอน้ำ เมื่อไอน้ำนั้นลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศเป็นละอองน้ำ เกาะกลุ่มกันเป็นก้อนเมฆ เมื่อเกิดการอิ่มตัวแล้ว เกิดการกระทบกับชั้นบรรยากาศที่เหมาะสมก็จะรวมตัวเป็นหยดน้ำ ตกลงมาเป็นฝนน้ำฝนจะไหลลงสู่ทะเล เพื่อจะกลายเป็นไอน้ำ เป็นละอองน้ำ เป็นหยดน้ำอีกต่อไป เป็นกระบวนการหมุนเวียนเป็นวัฏจักรแบบนี้ โดยไม่มีอำนาจเหนือธรรมชาติใด ๆ มาจัดแจงควบคุม เป็นต้น
เราสามารถกล่าวโดยสรุปได้ว่า ธรรมชาตินิยม คือ ความเชื่อที่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในเอกภพ เกิดขึ้นตั้งอยู่ และดับไปตามกฎแห่งเหตุผล สิ่งที่มนุษย์สามารถทำได้ก็คือ การเข้าไปจัดการเปลี่ยนแปลงเหตุเพื่อให้ผลที่ตนต้องการเกิดขึ้น หรือการดับเหตุเพื่อมิให้ผลที่ตนไม่ต้องการ หรือพึงประสงค์เกดขึ้น
๓.อริยสัจ๔ มีอยู่เป็นอยู่ในธรรมชาติ
   อริยสัจ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มีอยู่ในธรรมชาติตามหลัก หรือกฎเกณฑ์ธรรมชาติ
   ชีวิตของเรา หรือตัวเราเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอย่างหนึ่ง มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ตามกฎธรรมชาติเช่นเดียวกับปรากฏการณ์ธรรมชาติทั้งปวง อริยสัจ๔ มีอยู่แล้วในตัวเราทุกคน
   ทุกข์ คือ การเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตาย (ทุกข์ทางกาย) และความโศก ความคร่ำครวญ ความทุกข์ ความโทมนัส ความเหี่ยวแห้งใจ (ทุกข์ทางใจ) มีอยู่ เห็นกันอยู่ในชีวิตประจำวันของเราทุกคน
   สมุทัย คือ ความอยากให้ตนได้ในสิ่งที่น่าปรารถนาทั้งปวงที่ท่านเรียกว่า กามตัณหา (อยากให้สิ่งที่เราชอบมาสู่เรา-อยากให้มา) ก็ดี ความอยากให้สิ่งดี ๆ ที่เรามีอยู่แล้ว คงอยู่กับเราตลอดกาลที่เรียกว่า ภวตัณหา (อยากให้อยู่) ก็ดี ความอยากให้สิ่งที่เราไม่ชอบดับสูญไปที่เรียกว่า วิภวตัณหา (อยากให้ไป) ก็ดี มีอยู่แล้วที่ตัวเราทุกคน
   นิโรธ คือ การดับทุกข์ หรือภาวะที่ปราศจากทุกข์ ก็มีอยู่แล้วในตัวเรา แต่ไม่แสดงตัวออกมา เพราะถูกตัณหาปกปิดไว้ ถ้าเราสามารถดับตัณหาได้ นิโรธก็จะปรากฏแจ่มแจ้งขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ เหมือนกับความร้อนกับความเย็นอู่ด้วยกัน ถ้าเราดับไฟได้ ความเย็นก็จะปรากฏตัวออกมาเอง หรือเหมือนความสกปรกกับความสะอาดอยู่ที่เดียวกัน เมื่อเราชำระล้างสิ่งสกปรกออกไปได้แล้ว ความสะอาดก็จะปรากฏขึ้นมาเอง โดยไม่ต้องหาความสะอาดมาใส่
   เพราะฉะนั้น หน้าที่ของเรา คือ การทำให้นิโรธ หรือนิพพานปรากฏตัวแจ่มแจ้งออกมา (นิพพานสัจฉิกิริยา) ไม่ใช่สร้างนิโรธให้เกิดขึ้น ถ้านิโรธ หรือนิพพานเกิดขึ้น มันก็จะมีการตั้งอยู่และดับไป นิพพานก็จะตกอยู่ภายใต้กฎแห่งไตรลักษณ์ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะนิพพานเป็นอมตธาตุเที่ยงแท้ (นิจจัง) แน่นอน (สัสสตัง) มั่นคง (ธุวัง) ฯลฯ (๓๐/๖๕๙/๓๑๕)
   มรรคมีองค์๘ ก็มีอยู่แล้วที่กาย วาจา ใจ ของเรา แต่มีอยู่แบบกระพร่องกระแพร่ง ยังไม่สมบูรณ์ หน้าที่ของชาวพุทธ คือ การพัฒนา (ภาวนา) มรรคมีองค์๘ ให้สมบูรณ์ มรรคมีองค์๘ นั้น ท่านนิยมย่อลงเป็นสาม คือ ศีล สมาธิ ปัญญา แต่ถ้าเราเรียงตามลำดับองค์มรรคจริง ๆ จะได้สูตรใหม่เป็น
   ปัญญา (สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ)
   ศีล (สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ)
   สมาธิ (สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ)
   ต่อจากนั้น จะเกิดสัมมาญาณ ทำให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริงในไตรลักษณ์ การเห็นไตรลักษณ์จะทำให้เกิดความเบื่อหน่าย (นิพพิทา) เมื่อเบื่อหน่ายก็ปล่อยวาง (วิราคะ) เมื่อปล่อยวางก็หลุดพ้นชอบ (สัมมาวิมุติ) เมื่อหลุดพ้นชอบ นิโรธ หรือนิพพานก็ฉายแสงเจิดจ้าออกมาเอง
   จากที่กล่าวมาแล้วนั้น เราจะเห็นได้ทันทีว่า แม้แต่การบรรลุนิพพาน ก็เป็นไปตามกฎแห่งเหตุ แลผลในธรรมชาติ ใคร ๆ ก็ตามที่ปฏิบัติตนตามหลักอริยมรรคได้ครบถ้วนแล้ว ย่อมจะบรรลุถึงนิโรธได้ ไม่ว่าเป็นคนชาติใด ศาสนาใด
๔.โลกเกิด-ดับตามธรรมชาติ
   ในศาสนาฝ่ายเทวนิยม มีความเชื่อว่า โลกเป็นผลงานการสร้างสรรค์ของเทพเจ้า ศาสนากลุ่มเอกเทวนิยม (Monotheism) เช่น ศาสนาจูดาย คริสต์ อิสลาม สิข และบาไฮ เชื่อว่าเดิมยังไม่มีอะไร มีแต่พระเจ้า ทูตสวรรค์ และความว่าง ต่อมาพระเจ้าได้สร้างโลก และสรรพสิ่งขึ้นมา ในวันสิ้นโลก โลก และสรรพสิ่งจะสิ้นสุดลง กลับสู่ความว่างเปล่าตลอดกาล ยังเหลือแต่พระเจ้า ทูตสวรรค์ และชาวสวรรค์ที่มาจากมนุษย์ผู้ภักดี ต่อพระเจ้าอยู่ในสวรรค์เท่านั้น
   ศาสนากลุ่มพหุเทวนิยม เฉพาะอย่างยิ่งศาสนาฮินดูเชื่อว่า เมื่อถึงเวลาที่พระพรหมผู้สร้างจะตื่อนขึ้นมาสร้างโลก พระวิษณุจะพิทักษ์โลก ในวาระสุดท้าย พระศิวะจะทำลายโลก แล้วเทพทั้ง ๓ จะนอนหลับพักผ่อนเป็นเวลา ๑ กัลป์ เมื่อครบกำหนดพระพรหมจะตื่นขึ้นมาสร้างโลกอีก วนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่มีเบื้องต้น ไม่มีที่สิ้นสุด
   เป็นอันว่า ศาสนาฝ่ายเทวนิยมยกให้การเกิดดับของโลกเป็นผลงานของพระเจ้า เทพเจ้าผู้อยู่เหนือธรรมชาติ
   แต่พระพุทธศาสนาอธิบายการเกิดดับของโลกตามกฎของธรรมชาติ ในสุริยสูตร (๒๓/๖๒/๑๐๒-๕) ท่านบรรยายการดับของโลกไว้ว่าเมื่อถึงเวลา โลกจะพบกับพระอาทิตย์ ๒ ดวง แน่นอนที่สุด แสงสว่าง และความร้อนในโลกจะเพิ่มขึ้น ต่อมาพระอาทิตย์ดวงที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ ที่ ๖ จะปรากฏตัวขึ้น ความร้อนจะเพิ่มมากขึ้น น้ำจะเหือดแห้งหายไป พืช และสัตว์ทั้งหลายจะตายไปตามลำดับ ในที่สุดเมื่อพระอาทิตย์ดวงที่ ๗ ปรากฏขึ้น โลกทั้งโลกก็ติดไฟลุกโชติช่วงขึ้น และก็สูญสลายไปในที่สุด
   ในอัคคัญญสูตร (๑๑/๕๖-๖๒/๙๒-๑๐๒) ท่านบรรยายการเกิดของโลกไว้ว่า ได้เกิดพื้นน้ำขึ้นมาก่อน เมื่อกาลเวลาผ่านไปได้เกิดตะกัง (ท่านเรียกว่าง้วนดิน) ขึ้นเป็นแผ่นลอยอยู่บนพื้นน้ำ นานเข้า ๆ ตะกังนั้นก็กลายเป็นสิ่งหยาบขึ้น หนาขึ้น จนกลายเป็นแผ่นดิน จากแผ่นดินนั้น พืชพันธุ์ธัญญาหารต่าง ๆ ก็เกิดขึ้น
   ในพระสูตรเดียวกันนี่เอง ท่านได้บรรยายกำเนิดของมนุษย์บนโลกไว้ว่า มนุษย์ที่ตายตั้งแต่คราวโลกพินาศด้วยไฟนั้น ได้ไปเกิดเป็นอาภัสรพรหม มีกายเป็นทิพย์ มีรัศมีพุ่งออกจากตัว โคจรไปมาในอากาศ ต่อมาเมื่อเกิดแผ่นง้วนดินขึ้นเหนือแผ่นน้ำ เกิดความสงสัยเหาะลงมาดู ได้กลิ่นหอมของง้วนดินจึงลองชิมดูเกิดติดใจในรสจึงบริโภคง้วนดินเป็นการใหญ่ ในที่สุดร่างทิพย์ก็กลายเป็นร่างหยาบมีน้ำหนัก โคจรไปมาในอากาศไม่ได้ รัศมีก็หมดสิ้นไป จึงต้องอยู่บนโลกกินผลิตผลจากดินที่หยาบกระด้างขึ้นตามลำดับ จนเป็นข้าวสาลี ต่อมาก็เกิดเครื่องหมายเพศ เกิดกามราคะ มีการสมสู่กัน แพร่พันธุ์ไว้ในโลกต่อมาจนบัดนี้
   จากพระสูตรทั้ง ๒ ที่กล่าวมานี้ เราจะเห็นได้ทันทีว่า พระพุทธศาสนาอธิบายการเกิด และการดับของโลก และของมนุษยชาติตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ไม่มีอำนาจของพระเจ้า เทพเจ้าเหนือธรรมชาติเข้ามาเกี่ยวข้องเลย
๕.กำเนิดมนุษย์ในครรภ์
   ศาสนาฝ่ายเทวนิยมสอนว่า มนุษย์ทุกคนเกิดเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาได้ เพราะพระเจ้าสร้าง เฉพาะอย่างยิ่งในด้านจิตใจนั้น พระเจ้าทรงใส่วิญญาณอมตะ (Soul) เข้าไปในมนุษย์แต่ละคนตอนที่เขาปฏิสนธิในครรภ์ เพราะเหตุนี้พระเจ้าจึงเป็นพระบิดาของมนุษย์ทุกคน มนุษย์ทุกคนเป็นบุตรของพระเจ้า และเป็นพี่น้องของกัน และกัน ภายใต้พระบิดาองค์เดียวกัน จึงควรรักกันดุจพี่น้อง
   ส่วนพระพุทธศาสนาได้อธิบายการกำเนิดมนุษย์ในครรภ์ตามกระบวนการทางธรรมชาติ โดยไม่มีพระเจ้า หรือเทพเจ้าผู้สร้างเข้ามาเกี่ยวข้อง ไว้ในอัสสลายนสูตร (๑๓/๖๒๘/๕๗๑) ว่า มนุษย์จะเกิดขึ้นมาได้ด้วยเหตุ ๓ ประการ คือ
   ๑) มาตา อุตุนี โหติ มารดามีฤดู คือ อยู่ในระยะที่ไข่ (Ovum) สุกพอดี
   ๒) มาตาปิตโร สนฺนิปติตา มารดา บิดาอยู่ร่วมกัน คือ มีเพศสัมพันธ์กัน
๓) คนฺธพฺโพ ปจฺจุปฏฺโต คันธัพพะ หรือปฏิสนธิวิญญาณของสัตว์อื่นที่ตายลง เข้ามาตั้งอยู่เฉพาะ คือ เข้ามาถือปฏิสนธิในเซลล์ที่ได้รับการผสมแล้ว
   เหตุข้อที่ ๑-๒ เป็นเหตุทางกายภาพที่ทุกคนรู้ดีอยู่แล้ว เหตุข้อที่ ๓ เท่านั้นที่เปฃ็นเหตุทางจิตภาพที่คนธรรมดาไม่สามารถรู้ได้
๖.พัฒนาการของทารกในครรภ์
   แม้แต่ในยุโรปซึ่งเป็นแดนแห่งวิทยาศาสตร์สมัยใหม่นักปรัชญาทั้งหลายยังเชื่อในทฤษฎีที่ว่า มนุษย์เกิดขึ้นในครรภ์มารดาเป็นมนุษย์ที่มีรูปร่างสมบูรณ์ทันที มีอวัยวะครบถ้วน เพียงแต่ว่ามีขนาดเล็กนิดเดียวเท่านั้น เขาเรียกทฤษฎีนี้ว่า “Preformation” (สร้างไว้ล่วงหน้า) มนุษย์สมบูรณ์แบบนั้นเขาเรียกว่า “Manikin” ภาษาลาตินว่า “Homunculus” นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งชื่อ “Hartsoecker” ถึงกับอ้างว่าเขาเคยส่องกล้องดู เห็นคนตัวน้อยดังกล่าวนั่งคุดคู้อยู่ในหัวของสเปอร์ม นักปราชญ์ นักวิทยาศาสตร์ยุโรปเพิ่งจะเห็นพัฒนาการของทารกในครรภ์ตามธรรมชาติเมื่อประมาณ ๒๘๐ กว่าปีมานี่เอง
   ในอินทกสูตร (๑๕/๘๐๓/๒๘๙) พระพุทธเจ้าทรงบรรยายพัฒนาการของทารกในครรภ์ ตามขั้นตอนของธรรมชาติไว้ว่า ใน ๗ วันแรก ทารกในครรภ์เป็น
   ๑) กลละ คือ เป็นเซลล์ขนาดเล็ก มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น (คำว่า “เซลล์” มาจากภาษาอังกฤษว่า “Cell” ซึ่งมาจากภาษาละตินว่า เก็ลละ “Cella” อีกทีหนึ่ง โปรดสังเกตว่า คำว่าเก็ลละออกเสียงคล้าย “กลละ” มาก) หลังจากนั้น ๗ วัน กลละกลายเป็น
   ๒) อัพพุทะ (อัมพุทะ) กลละ มีขนาดโตขึ้น มีลักษณะเป็นก้อนเนื้อกลม หลังจากนั้น ๗ วัน อัมพุทะ กลายเป็น
   ๓) เปสิ เป็นก้อนเนื้อสีแดงเรื่อ ๆ มีลักษณะยาวรี หลังจากนั้น ๗ วัน เปสิกลายเป็น
   ๔) ฆนะ เป็นก้อนเนื้อที่มีขนาดใหญ่ขึ้น มีความเข้มข้นมากขึ้น ต่อจากนั้น ๗ วัน ฆนะ กลายเป็น
   ๕) ปัญจสาขา แปลว่า ปุ่ม ๕ ปุ่ม ทารกในครรภ์เกิดมีอวัยวะ ๕ ส่วน ที่จะพัฒนาไปเป็นศีรษะ แขน ๒ ข้าง และขา ๒ ข้าง
   หลังจากนั้น ปัญจสาขาก็เจริญเติบโตขึ้นตามลำดับ จนถึงวันกำหนดคลอดออกมา
   จากคำบรรยายดังกล่าว เราจะเห็นได้ทันทีว่า พัฒนาการของทารกในครรภ์ตามพระสูตรนั้นตรงกับวิชาการสมัยใหม่อย่างน่าอัศจรรย์ ทั้ง ๆ ที่ในสมัยพุทธกาลยังไม่มีอุปกรณ์ทางวิยาศาสตร์ เช่น กล้องจุลทรรศน์เลย ทำให้เราต้องยอมรับว่า พระพุทธเจ้าทรงมีญาณพิเศษแบบหูทิพย์ ตาทิพย์จริง
   ตามหลักพระพุทธศาสนา ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่อยู่ภายใต้อาณาจักรของธรรมชาติทั้งสิ้น ฉะนั้น จึงอาจอธิบายได้ด้วยกฎธรรมชาติ แต่บางอย่างอาจจะดูเป็นสิ่งลึกลับ เช่น เรื่องฤทธิ์เดช ปาฏิหาริย์ เป็นต้น ที่ดูเป็นเรื่องลึกลับ ก็เพราะเรายังอธิบายตามกฎของธรรมชาติไม่ได้ ที่เราอธิบายไม่ได้ ก็เพราะเรายังไม่รู้กฎธรรมชาติที่ควบคุมเรื่องนั้น สักวันหนึ่ง เมื่อเราได้เรียนกฎธรรมชาติที่ควบคุมเรื่องนั้นแล้ว เราก็จะอธิบายได้อย่างสบาย
   ในธรรมชาติยังมีอะไรอีกมากมายที่มนุษย์ยังไม่รู้ แต่ทางศาสนา โดยเฉพาะพระพุทธศาสนานั้นรู้ก่อนวิทยาศาสตร์มากว่า ๒, ๖๐๐ ปี แล้ว แต่เมื่อวิทยาศาสตร์ตามทันศาสนาแล้ว สิ่งที่เราเห็นเป็นเรื่องลึกลับ ก็จะกลายเป็นเรื่องธรรมดาไป เราคงจะต้องให้เวลาแก่วิทยาศาสตร์บ้าง

ไม่มีความคิดเห็น: